20.5.11

ธุดงควัตรเครื่องห้ามล้อกิเลส....




ธุดงควัตรเครื่องห้ามล้อกิเลส


ความสำคัญของพระปฏิบัติก็คือหลักใจ คำว่าหลักใจก็คือสมาธิเป็นขั้นๆ ปัญญาเป็นภูมิ ๆ ภายในใจจนถึงอรหัตภูมิ เรียกว่าหลักใจของพระปฏิบัติ ถ้าหลักใจดีแล้วหลักการปฏิบัติทุกด้านก็ดีไปตามกันเพราะใจเป็นผู้บงการ เราจึงเห็นใจเป็นสำคัญ คนที่มีหลักใจกับคนไม่มีหลักใจปฏิบัติจึงผิดกันอยู่มาก การลดหย่อนผ่อนผันตามเหตุการณ์ในบางกาล สถานที่ บุคคล และการเคร่งครัดในเวลาปกติของผู้มีหลักใจ มีเหตุมีผลต่างกันกับผู้ไม่มีหลักใจ ซึ่งมีแต่ความมุ่งมั่นอย่างเดียว ถึงจะเด็ดเดี่ยวอาจหาญก็จริงแต่มันแฝงไปด้วยความผิดพลาด และทิฐิมานะไม่สม่ำเสมอเท่าที่ควรกับธุดงควัตรอันเป็นเครื่องชำระกิเลสทิฐิมานะที่หมักดองอยู่ภายใน เพราะธาตุขันธ์ของเรามันเป็นโลกเหมือนโลกทั่วไป จำต้องเกี่ยวข้องกับโลกที่ควรผ่อนผันสั้นยาวแก่บางคน บางสถานที่บางเวลาอยู่โดยดี  แต่เวลาจะควรลดหย่อนผ่อนผันก็ลดหย่อนไม่ได้ กลัวเสียความเคร่งครัดหรือเสียธุดงค์ แต่เมื่อลดหย่อนลงแล้วก็เคร่งตึงขึ้นไม่ได้ เพราะมีทิฐิแทรกอยู่ทั้งสองด้าน แล้วก็ไม่พ้นการกระเทือนตนและผู้อื่นจนได้ ทั้งเวลาเคร่งครัดและเวลาหย่อนยานไปตามเหตุการณ์
ผู้มีหลักใจเห็นสมควรตามเหตุผลแล้ว เวลาจะลดหย่อนผ่อนผันก็ลดหย่อนผ่อนผันไปตามที่เห็นสมควรแก่กาล สถานที่ บุคคล ซึ่งอาจมีตามคราวตามสมัย พอหมดหน้าที่ความจำเป็นนั้นแล้ว ก็ดีดขึ้นและคงเส้นคงวาตามเดิม โดยไม่ยากแก่การบังคับบัญชา เพราะเหตุผลอรรถธรรมภายในใจบังคับภายในตัวอยู่แล้ว จึงไม่ลำบากทั้งเวลาจะลดหย่อนผ่อนผัน และเวลาจะปฏิบัติตามธุดงควัตรอย่างเคร่งครัดที่เคยดำเนินมา
ทั้งนี้เราเคยปฏิบัติมาแล้วในสมัยอยู่กับท่านอาจารย์มั่น ยกตัวอย่างเช่น เราสมาทานธุดงค์ข้อใดข้อหนึ่งหรือหลายข้อเพื่อปฏิบัติเป็นวัตร โดยไม่เรียนให้ท่านทราบ แต่ท่านก็ทราบได้ดีปิดไม่อยู่ เพราะความเคารพท่านมากที่จำต้องอนุโลมทั้งที่ขัดใจ(ขัดกิเลสเรา)
ถ้าธรรมดาแล้วจะไม่ยอมลดหย่อนลงเลย….นั่น นี่คือความรู้สึกมันขวางอยู่ในจิตเจ้าของเอง เพราะเจตนาเรามุ่งเด็ดเดี่ยวอย่างนั้นจริง ๆ ไม่ให้มีอะไรมาผ่านเอาให้ทะลุปรุโปร่งไปด้วยความตั้งใจอันนี้
พอไปอยู่กับท่านปีแรกก็เห็นท่านพูดถึงเรื่องธุดงควัตร  เพราะท่านเคร่งครัดในธุดงควัตรมากมาตามนิสัย มีการรับอาหารเท่าที่บิณฑบาตได้มาเป็นต้น จากนั้นมาเราก็สมาทานธุดงค์เป็นประจำในหน้าพรรษา ไม่เคยลดละเลย สมาทานธุดงค์ข้อฉันของที่ได้มาในบาตรเท่านั้น ใครจะเอาอาหารมาใส่บาตรนอกจากอาหารในบาตรของตัวเเล้ว เป็นไม่รับไม่สนใจ ตั้งแต่บัดนั้นมาเรื่อยไม่เคยลดละ คนเดียวเราก็ทำของเราไม่ให้ขาด เมื่อถึงพรรษาเข้ามาแล้ว เราต้องสมาทานธุดงค์ข้อนี้เป็นหลักเกณฑ์ในจิตใจไม่ให้ขาดแม้แต่ปีเดียว
ปีจำพรรษาบ้านนามน ท่านหูดีตาดีท่านฉลาด จอมปราชญ์ในสมัยปัจจุบันใครจะเก่งไปกว่าท่านอาจารย์มั่นเล่า การสมาทานธุดงค์ท่านก็รู้ว่าเราไม่รับอาหารที่ตามมาทีหลัง แต่บทเวลาท่านจะใส่บาตรเรา ท่านก็พูดเป็นเชิงว่า ขอใส่บาตรหน่อยท่านมหา นี่เป็นสมณบริโภค ท่านว่าอย่างนั้น นี่เป็นเครื่องบริโภคของสมณะขอนิมนต์รับเถอะ ก็หมายความว่าท่านเป็นผู้ใส่เองนั่นแล
บางครั้งก็มีคณะศรัทธาทางจังหวัดหนองคายบ้าง และที่สกลนครบ้าง ที่อื่น ๆ บ้างไปใส่บาตรท่านและพระในวัดบ้านนามน อ.เมือง จ.สกลนคร นาน ๆ มีไปทีหนึ่งเพราะแต่ก่อนรถราไม่มี ต้องเดินด้วยเท้า แต่เขาไปด้วยเกวียน จ้างล้อจ้างเกวียนไป เขาไปพักเพียงคืนสองคืนและไม่ได้พักอยู่ในวัดกับพระท่าน พากันไปพักอยู่กับกระท่อมนาของโยมแพง ตอนเช้าทำอาหารบิณฑบาต เสร็จแล้วก็มาถวายพระในวัดนั้น เขาไม่ได้ไปดักใส่บาตรนอกวัด เราก็ไม่กล้ารับกลัวธุดงค์ขาด เดินผ่านหนีมาเลย สำหรับท่านก็รับให้เพราะสงสารเขาเท่าที่สังเกตดู
อาหารก็เหลือจากใส่บาตรมากมาย นำขึ้นมาบนศาลาอย่างนั้นแล เป็นหมกเป็นห่อและผลไม้ต่าง ๆ น่ะ เราก็ไม่รับ ส่งไปไหนก็หายเงียบ ๆ ไม่มีใครรับ จะมีรับบ้างก็เพียงองค์สององค์ ผิดสังเกตศรัทธาเขาไม่น้อย ส่วนเราไม่กล้ารับเพราะกลัวธุดงค์ข้อนี้ขาด หลายวันต่อมาท่านก็ขอใส่บาตรเรา โดยบอกว่านี้เป็นสมณบริโภค ขอใส่บาตรหน่อย แล้วท่านก็ใส่บาตรเรา ท่านใส่เองนะ ถ้าธรรมดาแล้ว โถ..ใครจะมาใส่เราได้วะ สำหรับเราเองกลัวธุดงค์จะขาด หรืออย่างน้อยไม่สมบูรณ์ ความจริงท่านคงเห็นว่านี่มันเป็นทิฐิแฝงอยู่กับธุดงค์ที่ตนสมาทานนั้น ท่านจึงช่วยดัดเสียบ้างเพื่อให้เป็นข้อคิดหลายแง่หลายกระทง ไม่เป็นลักษณะเถรตรงไปถ่ายเดียว ท่านจึงหาอุบายต่าง ๆ สอนเราทั้งทางอ้อมและทางตรง
เฉพาะเราเถรตรง มีความคิดความมุ่งหมายอย่างนั้น จึงไม่ยอมให้ใครมาใส่บาตร อันเป็นการทำลายธุดงค์เราได้เลย นอกจากท่านอาจารย์มั่นผู้ที่เราเคารพเลื่อมใสเต็มหัวใจเท่านั้น จึงยอมลงและยอมให้ใส่บาตรตามกาลอันควรของท่านเอง เราเองมีความหนักแน่นในใจว่า จะไม่ยอมให้ธุดงค์นี้บกพร่องแม้นิดหนึ่ง ซึ่งเป็นที่ระแคะระคายภายในใจ ต้องสมบูรณ์ทั้งธุดงค์ที่เราได้ทำลงไปและจิตใจที่มุ่งมั่นอยู่แล้ว แต่เพราะความเคารพเลื่อมใสท่านความรักท่านทั้ง ๆ ที่ไม่สบายใจก็ยอมรับ นี่แลที่ว่าหลักใจกับหลักปฏิบัติ
ก็ยอมรับว่าถูกในความจริงจังที่ปฏิบัตินี่ แต่มันก็ไม่ถูกสำหรับธรรมที่สูงและละเอียดกว่านั้น เล็งดูเราเล็งดูท่าน มองเราและมองท่านนั้นผิดกันอยู่มาก อย่างท่านอาจารย์มั่นท่านมองอะไร ท่านมองตลอดทั่วถึงและพอเหมาะพอสมทุกอย่างภายในใจ ไม่เหมือนพวกเราที่มองหน้าเดียวแง่เดียวแบบโง่ ๆ ไม่มองด้วยปัญญาเหมือนท่าน เราจึงยอมรับตรงนั้น นี้พูดการปฏิบัติธรรมอยู่บ้านนามนกับท่านอาจารย์มั่น
ทีนี้พูดถึงบ้านหนองผือนาใน เวลามาอยู่บ้านหนองผือ เราก็สมาทานธุดงควัตรอย่างนั้นอีก อยู่ที่ไหนก็ตามเรื่องธุดงควัตรนี้ เราจะต้องเอาหัวชนอย่างไม่ถอยเลย ยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมให้ขาดได้เลย บิณฑบาตมาแล้วก็รีบจัดปุ๊บปั๊บ จะเอาอะไรก็เอาเสียนิด ๆ หน่อย ๆ เพราะการฉันไม่เคยฉันให้อิ่มในพรรษา ไม่เคยให้อิ่มเลย โดยกำหนดให้ตัวเองว่าเอาเพียงเท่านั้น ๆ สัก ๖๐% หรือ ๗๐% เช่นร้อยเปอร์เซ็นต์ เราหักไว้เสีย ๓๐% หรือ ๔๐% ซึ่งคิดว่าพอดี เพราะอยู่กับหมู่เพื่อนหลายองค์ด้วยกัน ถ้าจะอดก็ไม่สะดวก เพราะการงานในวงหมู่คณะเกี่ยวข้องกันอยู่เสมอ เราเองก็เหมือนเป็นผู้ใหญ่คนหนึ่งอย่างลับ ๆ ทั้งที่ไม่แสดงตัว ทั้งนี้เกี่ยวกับการคอยสอดส่องดูแลความสงบเรียบร้อยของหมู่คณะภายในวัด พรรษาก็ไม่มาก สิบกว่าพรรษาเท่านั้นแหละ แต่รู้สึกว่าท่านอาจารย์ใหญ่ท่านเมตตาไว้ใจในการช่วยดูแลพระเณรอย่างลับ ๆ เช่นกัน
เวลาเข้าพรรษาก็ต่างองค์ต่างสมาทานธุดงค์กันทั้งวัด ครั้นสมาทานแล้วไม่กี่วันมันก็ล้มไป ๆ นี่ก็ส่อแสดงให้เห็นความจริงจังหรือความล้มเหลวของหมู่คณะ ก็ยิ่งทำให้เรามีความระมัดระวังและขะมักเขม้นในหน้าที่และธุดงค์ของเรามากขึ้น เมื่อได้เห็นอาการของหมู่เพื่อนเป็นอย่างนี้ ทำให้เกิดความอิดหนาระอาใจไปหลายแง่หลายทางเกี่ยวกับหมู่คณะ จิตใจยิ่งฟิตตัวเอง ปลุกใจตัวเองให้แข็งขัน และย้อนมาถามตัวเองบ้าง ว่าไงเราจะไม่ล้มไม่เหลวไปละหรือเมื่อเหตุการณ์รอบข้างเป็นไปอย่างนี้ ก็ได้รับคำตอบอย่างมั่นใจว่า จะเอาอะไรมาให้ล้มให้เหลวไหลวะ ก็ตัวใครตัวเรานี่ ประกอบกับนิสัยเราเป็นอย่างนี้มาดั้งเดิมอยู่แล้ว ทำอะไรต้องจริงทั้งนั้น ถ้าลงได้ทำแล้วต้องจริง ทำเล่นไม่เป็น เรานี่จะล้มไม่ได้ นอกจากตายเสียเท่านั้นก็สุดวิสัย ใครจะมาใส่บาตรเราไม่ได้เป็นอันขาด ฟังซิว่า  เป็นอันขาดความรู้สึกเป็นอย่างไรในเวลานั้น
ฉะนั้นความเปลี่ยนแปลงของหมู่เพื่อน จึงเป็นราวกับแสดงธรรมเทศนากัณฑ์หนึ่งให้เราฟังอย่างถึงใจ จำไม่ลืมจนบัดนี้ พอบิณฑบาตกลับมาแล้วมีอะไรก็รีบจัด ๆ ใส่บาตรเสร็จ แล้วก็รีบไปจัดอาหารเพื่อใส่บาตรท่านอาจารย์ ห่อนั้นหรือห่อนี้ที่เห็นว่าเคยถูกกับธาตุขันธ์ท่าน เรารู้และเข้าใจก็รีบจัด ๆ อันไหนควรแยกออก อันไหนควรใส่ก็จัด ๆ เสร็จแล้วถึงจะมาที่นั่งของตน ตาคอยดู หูคอยสังเกต ฟังท่านจะว่าอะไรบ้างขณะก่อนลงมือฉัน
บาตรเราพอจัดเสร็จแล้วก็เอาตั้งไว้ลับ ๆ ทางด้านหลัง ข้างฝาติดกับต้นเสาเอาฝาปิดไว้อย่างดีด้วย เอาผ้าอาบน้ำปิดอีกชั้นหนึ่งด้วย เพื่อไม่ให้ใครไปยุ่งไปใส่บาตรเรา เวลานั้นใครจะมาใส่บาตรเราไม่ได้ กำชับกำชาไว้อย่างเด็ดขาด แต่เวลาท่านจะใส่บาตรเราท่านก็มีอุบายของท่าน เวลาเราจัดอะไรของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้วมานั่งประจำที่ ให้พรเสร็จ ตอนทำความสงบพิจารณาปัจจเวกขณะนั้นแล ท่านจะเอาตอนเริ่มจะฉัน ท่านเตรียมของใส่บาตรไว้แต่เมื่อไรก็ไม่รู้แหละ แต่ท่านไม่ใส่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ นี่ ท่านก็รู้เหมือนกันท่านเห็นใจเรา บทเวลาท่านจะใส่ท่านพูดว่า ท่านมหาขอใส่บาตรหน่อย ๆ ศรัทธามาสาย ๆ ท่านว่าอย่างนั้น พอว่าอย่างนั้นมือท่านถึงบาตรเราเลยนะ ตอนเราเอาบาตรมาวางข้างหน้าแล้ว กำลังพิจารณาอาหารนี่แหละ เราเองก็ไม่ทราบจะทำอย่างไรเพราะความเคารพ จำต้องปล่อยตามความเมตตาของท่าน เราให้ใส่เฉพาะท่านเท่านั้น นาน ๆ ท่านจะใส่ทีหนึ่ง ในพรรษาหนึ่ง ๆ จะมีเพียง ๓ ครั้งหรือ ๔ ครั้งเป็นอย่างมาก ท่านไม่ใส่ซ้ำ ๆ ซาก ๆ เพราะท่านฉลาดมาก คำว่ามัชฌิมาในทุกด้านจึงยกให้ท่านโดยหาที่ต้องติไม่ได้
นี่เรารักษาของเราอย่างนั้นเรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้ ส่วนพระเณรไม่ได้เรื่องล้มเหลวไปหมด จึงทำให้คิด คิดอยู่ไม่หยุดเกี่ยวกับหมู่คณะ เอ….จิตใจมันเป็นยังไงพระเรานี่ จึงหาหลักเกณฑ์ไม่ได้ ล้มเหลว ๆ ไปอย่างนั้น จะเอาอะไรเป็นหลักอันมั่นคงในอนาคต เมื่อปัจจุบันเป็นความล้มเหลวอยู่แล้ว ทำให้คิดเรื่องเหล่านี้ภายในใจอยู่ไม่หยุดจนถึงหมู่คณะในปัจจุบันที่อยู่กับเราเวลานี้
ฉะนั้นหลักปฏิบัติธุดงควัตรจึงเป็นสิ่งสำคัญมาก การฉันในบาตร คนจำนวนมากตลอดถึงพระเรายังไม่เห็นคุณค่าของการฉันในบาตร นอกจากไม่เห็นคุณค่าธุดงค์ข้อนี้แล้ว ยังอาจเห็นไปว่าไม่เหมาะไม่สวยงาม ทั้งในส่วนเฉพาะและสังคมทั่วไป เนื่องจากอาหารต้องรวมกันทั้งคาวทั้งหวานในบาตรใบเดียว และยังอาจเห็นเป็นของน่าเกลียด สกปรกมูมมามไปก็ได้ ซึ่งเป็นความคิดเห็นของกิเลสลบล้างธรรมของจริง ธุดงค์ทั้ง ๑๓ นี้ผู้จะเห็นคุณค่ามีน้อย ทั้ง ๆ ที่ธุดงค์ทั้ง ๑๓ ข้อเป็นเครื่องชำระกิเลสของพระเราทั้งนั้นนั่นเอง นี่แลขึ้นชื่อว่ากิเลสกับธรรม ย่อมปีนเกลียวและลบล้างกันเสมอแต่ไหนแต่ไรมา ผู้จะพลีชีพพลีดวงใจเพื่อบูชาพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ ก็ปฏิบัติตามธรรมที่ทรงสอนไว้ ส่วนผู้จะพลีชาติพลีดวงใจเพื่อบูชากิเลสวัฏฏ์ ก็ปฏิบัติตามความเห็นของกิเลส นี่พวกเราจะบูชาใครเวลานี้ รีบคิดและตัดสินใจอย่าเนิ่นนาน เดี๋ยวกิเลสเอาขึ้นเขียงจะว่าไม่บอก ธรรมท่านบอกสอนไว้แล้วรีบก้าวเดิน อย่ามัวกลัวไม่ทันสมัยจะก้าวไม่ออก
ปํสุกูลจีวรํ การถือผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ก็เพื่อตัดความมีราค่ำราคาโอ่อ่าชะล่าใจ ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ความสวยงามแบบส่งเสริมกิเลสและเหยียบย่ำธรรม ไม่ให้พะรุงพะรังภายในใจของนักปฏิบัติผู้กำจัดกิเลสเพื่อส่งเสริมธรรม บำรุงใจให้สง่างาม เครื่องบริโภคใช้สอยที่ได้จากบังสุกุลมาใช้ ย่อมฆ่ากิเลสตัวโลภโลเล ตัวฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมตัวรักสวยรักงาม ตัวเผยอเย่อหยิ่งออกได้เป็นอย่างดี ปราชญ์ท่านจึงชมเชยและปฏิบัติกันเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ให้พวกเราพอได้เห็นร่องรอยของท่านที่ฆ่ากิเลสด้วยวิธีนี้ไว้เป็นขวัญตาขวัญใจ ไม่ตายเปล่าในชีวิตนักบวช
การบิณฑบาตเป็นวัตร ก็ให้ทำหน้าที่ของตนตาม ปิณฺฑิยาโลปโภชนํฯ ซึ่งพระองค์ประทานให้ตั้งแต่วันบวช อย่าขี้เกียจขี้คร้าน อย่าลืมตัวเพราะมีอติเรกลาภมากน้อย ใคร ๆ จะมาถวายก็ตาม พึงเห็นว่าเป็นของพิเศษหรือเป็นของเหลือเฟือ ไม่เป็นของจำเป็นยิ่งกว่าที่เราบิณฑบาตหามาได้ด้วยปลีแข้งของเรา ซึ่งเป็นหน้าที่ของพระ เป็นงานของพระซึ่งทำงานของตนโดยถูกต้อง ได้มาโดยเหมาะสมจริง ๆ สมกับปิณฺฑิยาโลปโภชนํฯ ในอนุศาสน์ที่ท่านสอนไว้ แน่ะฟังซิ….นี่เหมาะสม ท่านจึงสอนให้บิณฑบาต ซึ่งเป็นงานที่บริสุทธิ์อันดับหนึ่งของพระ
พระพุทธเจ้าก็ทรงบิณฑบาตตลอด จะทรงพักบ้างก็เวลาไปอยู่ในสถานที่ไม่เหมาะสมที่จะควรบิณฑบาตได้ เช่นทรงไปอยู่ในป่าเลไลยก์กับช้าง ช้างอุปถัมภ์อุปัฏฐากดูแลท่าน เพราะไม่มีบ้านผู้บ้านคน มีงดเว้นบ้างเฉพาะเท่านั้น ปุพฺพเณฺหปิณฺฑปาตญฺจ ในพุทธกิจห้า ตอนเช้าเสด็จออกบิณฑบาตโปรดสัตว์โลกนั่นฟังซิ สายเณฺห ธมฺมเทสนํ ตอนบ่ายสี่โมงก็ประทานพระโอวาทแก่พุทธบริษัทฝ่ายฆราวาส นับแต่พระราชามหากษัตริย์ เสนาบดี เศรษฐี กุฏุมพี พ่อค้า ตลอดถึงประชาชนธรรมดาทั่วไป
ปโทเส ภิกฺขุโอวาทํ มืดไปแล้วประทานพระโอวาทแก่พระสงฆ์ นี่เป็นข้อที่สองของพุทธกิจ เรียกว่างานของพระพุทธเจ้า
อฑฺฒรตฺเต เทวปญฺหากํ พอหกทุ่มล่วงไปแล้วแก้ปัญหาเทวดาและแสดงธรรมโปรดพวกเทพชั้นต่าง ๆ นับแต่ภูมิต่ำขึ้นไปจนถึงภูมิสูง นี่เป็นข้อสาม
ภพฺพาภพฺเพ วิโลกนํ ตั้งแต่ปัจฉิมยามไปแล้ว ทรงเล็งญาณดูสัตวโลกผู้ใดจะข้องตาข่ายคือ พระญาณของพระองค์ ซึ่งควรจะเสด็จไปโปรดก่อน ว่าผู้นั้นมีนิสัยและจะมีอันตรายแก่ชีวิตอย่างรวดเร็ว ซึ่งไม่อาจจะรออยู่ได้นาน ควรจะไปโปรดคนนั้นก่อนก็เสด็จไปก่อน นี่เป็นข้อที่สี่
ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ พอรุ่งเช้าก็เสด็จออกบิณฑบาตมาเสวยเป็นประจำ นี่เรียกว่าพุทธกิจห้าของพระองค์ ปกติไม่ทรงลดละ จะลดละบ้างก็เป็นกรณีพิเศษในบางข้อ เช่น ปุพฺพเณฺห ปิณฺฑปาตญฺจ เวลาประทับอยู่ในป่าเลไลยก์เสด็จบิณฑบาตไม่ได้ก็ทรงงด นอกนั้นทรงถือเป็นความจำเป็นในการบิณฑบาต จึงต้องสอนพระให้ถือว่าการบิณฑบาตมาฉันนั้นเป็นงานที่ชอบ เป็นงานที่เหมาะสมอย่างยิ่ง สำหรับพระไม่มีงานใดในการแสวงหาเลี้ยงชีพเหมาะสมยิ่งกว่างานบิณฑบาต ใคร ๆ จะมีศรัทธามาถวายมากน้อยให้ถือเป็นอติเรกลาภ สิ่งเหลือเฟือไปเสีย ไม่ถือเป็นความจำเป็นยิ่งกว่าอาหารที่ได้มาในบาตร เพื่อกันความลืมตัวมั่วสุมกับสิ่งเหล่านั้น
ท่านสอนพระไม่ให้ลืมตัว ไม่ให้ขี้เกียจ เพราะกิเลสตัวขี้เกียจมันสำคัญ ตัวลืมตัวนี้ก็เลวไม่ย่อย เพราะคนเราชอบเย่อหยิ่งเวลามีคนนับถือมาก ๆ ยิ่งมีคนชั้นสูงนับถือมากมีบริษัทบริวารมากยิ่งเบ่ง ผึ่งผาย ลวดลายไม่มีก็เสมือนจะแต้มลวดลายขึ้นเป็นพญาราชสีห์อวดศักดานุภาพโน่นแน่ มันของเล่นเมื่อไร กิเลสของพระน่ะ ท่านจึงสอนให้ปราบกิเลสตัวน่าเกลียดในสังคมชาวพุทธชาวพระเราไม่ให้ลืมตัว ใครจะมานับถือมากน้อยก็เป็นเรื่องของเขา เรื่องของเราอย่าลืมหน้าที่ของเรา อย่าลืมเรื่องของพระเป็นเรื่องของพระ ความลืมตัวไม่ใช่เรื่องของพระ แม้แต่ฆราวาสผู้มีสติเขายังไม่ลืมตัว การวางตัวของเขาสม่ำเสมอ เราเป็นพระและพระปฏิบัติด้วยแล้วก็ยิ่งละเอียดเข้าไปอีก ความมีสติระลึกรู้อยู่กับตัว ปัญญาสอดส่องเหตุการณ์ที่มาเกี่ยวข้องกับตัวอยู่เสมอ ไม่ให้เผลอและหลวมตัวไปกับสิ่งนั้น ๆ นั่นคืองานของพระ นั่นคือลวดลายของพระผู้เห็นภัยในสิ่งที่เป็นภัย
พระผู้ออกจากศากยสกุล คือตระกูลของพระพุทธเจ้า ผู้ทรงเฉลียวฉลาดแหลมคมยิ่งกว่าใคร ๆ ในไตรโลกธาตุ เหตุใดจึงต้องมาโง่ต่อโลกามิสซึ่งมีเต็มแผ่นดิน ไม่ใช่ของหายากเหมือนธรรมเลย การลืมเนื้อลืมตัวผยองพองตัวเพราะอติเรกลาภ หรือความนับถือของประชาชน เป็นเกียรติยศอันชอบธรรมและน่าภูมิใจของพระศากยบุตรดีแล้วหรือ นอกจากจะเห็นธรรมอันประเสริฐว่าเป็นของต่ำกว่าสิ่งเหล่านี้เท่านั้น พระเราจึงจะไม่คิดไม่สำนึกตัวกลัวภัยตามร่องรอยศาสดา
สกฺกาโร ปุริสํ หนฺติ ปลาตายเพราะเหยื่อล่อ พระเราไม่ตายเพราะสิ่งเหล่านี้จะตายเพราะอะไร จงพากันพิจารณาให้ดี ว่าธรรมเหล่านี้ท่านสอนปลาตัวโง่ หรือท่านสอนพระเราผู้กำลังขยับตัวเข้าหาเบ็ดอยู่เวลานี้ จงทราบว่าภายนอกนั้นเป็นเหยื่อ แต่ภายในเหยื่อเข้าไปนั้นคือเบ็ดนะ ถ้าไม่อยากฉิบหายล่มจมจงระวังอย่างับเบ็ด
การฉันในบาตรนี่เป็นกิจสำคัญอยู่มาก แต่เราไม่เห็นความสำคัญของการฉันในบาตร ธรรมดาพระผู้บวชมาในศาสนาแล้ว ไม่มีภาชนะใดที่เหมาะสมยิ่งกว่าบาตรสำหรับใส่อาหาร จะเป็นถ้วยชามนามกรอะไรก็แล้วแต่เถอะ เป็นภาชนะทองคำมาก็ไม่เหมาะสมยิ่งกว่าบาตร บาตรนี้เท่านั้นเป็นภาชนะอันเหมาะสมสำหรับขบฉันของพระ ไม่มีอันใดที่จะควรยิ่งกว่านี้ เหมาะสมยิ่งกว่านี้ ดียิ่งกว่านี้ มีบาตรใบเดียวเท่านั้น มีอะไรก็รวมลงที่นั้น พระพุทธเจ้าก็ทรงดำเนินเป็นตัวอย่างอันแนบแน่นมาก่อนแล้ว
หรือว่าอาหารที่รวมลงไปแล้วจะทำให้ท้องเสีย ดังที่ส่วนมากว่ากันซึ่งเคยได้ยินมาแล้ว ถ้าเช่นนั้นเวลารวมลงในท้องแล้ว มันไม่ทำให้ท้องเสียหรือ ท้องมีพุงอะไรบ้าง มีกี่พุงมีกี่ไส้ มีกี่ภาชนะสำหรับใส่อาหาร แยกประเภทต่าง ๆ นี้หวานนี้คาว นี้แกงเผ็ด นี้แกงร้อนมีไหม ภาชนะอะไรต่าง ๆ ที่จะไว้อาหารต่างประเภทเป็นแผนก ๆ เพื่อกันท้องเสียน่ะมีไหม เรามาเห็นกันแต่รวมในบาตรว่าท้องจะเสีย ส่วนรวมในท้องไม่เห็นว่าท้องมันจะเสีย ความคิดกลัวท้องเสียเป็นต้นนั้น คือความคิดเพื่อส่งเสริมลิ้น ส่งเสริมพุง ไม่ใช่ความคิดที่ส่งเสริมใจส่งเสริมธรรมด้วยข้อปฏิบัติต่าง ๆ
ถ้าสิ่งที่เป็นพิษมีอยู่ในอาหารนั้นแล้ว จะรวมหรือไม่รวม เมื่อฉันลงไปรับประทานลงไปในท้อง มันก็ทำให้ท้องเสียได้ โดยไม่เกี่ยวกับเรื่องอาหารรวมหรือไม่รวมเลย เพราะความเป็นพิษนั้นอยู่กับสิ่งที่เป็นพิษต่างหาก ไม่ใช่อยู่กับความรวม เวลาฉันลงไปมันก็เป็นพิษ ถ้าอาหารไม่เป็นพิษแล้ว รวมกันก็ไม่เป็นพิษ จะเอาอะไรมาเป็นพิษเพราะสิ่งเหล่านั้นเป็นคุณ ไม่มีโทษไม่มีพิษภัยเจือปนอยู่ในนั้นเลย รวมลงในบาตรก็เป็นอาหาร ฉันลงไปในท้องก็เป็นประโยชน์แก่ธาตุขันธ์
ฉะนั้นเราซึ่งเป็นนักบวชและนักปฏิบัติ จงสังเกตข้อแตกต่างระหว่างธรรมกับอธรรมที่คอยลบล้างกันอยู่เสมอ ดังฉันในบาตรท้องเสีย ฉันนอกบาตรท้องดี กิเลสอ้วนพี แต่ธรรมหมอบเผยอไม่ขึ้นเพราะถูกอธรรมเหยียบ ๆ ในทำนองนี้ หลายด้านหลายทางไม่มีประมาณเรื่อยมา
ความจริงในขณะที่อาหารรวมในบาตรก็เป็นเทศนาได้อย่างดี ก่อนฉันก็พิจารณา ในขณะที่ฉันก็กำหนดพิจารณาปัจจเวกขณะ โดยความเป็นต่าง ๆ แห่งอาหาร ย่อมได้อุบายแปลก ๆ ขึ้นมาจากอาหารผสมนั้น เพราะเราไม่ได้ฉันเพื่อความรื่นเริงบันเทิง ไม่ได้ฉันเพื่อความสวยงาม เพื่อความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เพื่อความคึกคะนองอะไร ฉันพอยังอัตภาพให้เป็นไป เพื่อได้ประพฤติพรหมจรรย์ ชำระกิเลสอาสวะซึ่งเป็นตัวพิษรกรุงรังฝังจมลึกอยู่ภายในใจนี้ให้เตียนโล่งออกจากใจ  ด้วยการพิจารณาโดยแยบคาย ซึ่งอาศัยธุดงควัตรเหล่านี้เป็นเครื่องมือต่างหาก
การห้ามอาหารตามมานั้น ก็เพื่อกันความโลภและความลืมตัวอีกเหมือนกัน อาหารมีมาก อาหารเหลือเฟือ ความโลภน่ะมันไม่มีเมืองพอ อันนั้นก็ดีอันนี้ก็ดี อาหารมากเท่าไรปากยิ่งกว้าง ลิ้นยิ่งยาว ท้องยิ่งโต แซงหน้าธรรมไม่มีถอย อันนั้นหวานอันนี้หอมอันนี้มัน และดีไปเรื่อย ๆ ไม่มีเบรกคือสติ ห้ามล้อไว้บ้างเลย ความจริงคำว่าดีนั้นเป็นเรื่องของกิเลสเสกสรรปั้นยอขึ้นลบล้าง อัปปิจฉตาธรรม สันโดษธรรมของนักปฏิบัติโดยเจ้าตัวไม่รู้ จึงมักมัวเพลินไปกับเพลงกล่อมของมันจากคำว่าดีตามกิเลส
ส่วนธรรมจะดีหรือไม่ดีเป็นอีกแง่หนึ่ง หวานก็รู้ หอมก็รู้ มันก็รู้ จิตจะติดรสก็ให้รู้ให้ระวัง และหักห้ามกิเลสตัวอยากได้มาก ฉันมาก ส่วนธรรมให้เอาแต่พอดี หรือเอาแต่น้อยเหมาะกับธรรม และฉันแต่พอดีกับธาตุหรือฉันแต่น้อย ไม่โลภในอาหารปัจจัยบริโภคใช้สอย พอครองตัวไปได้ ไม่อืดอาดเนือยนายหมายแต่ที่หลับที่นอน ยิ่งกว่าหมายความพากเพียรเพื่อละกิเลส
พระเราเมื่อฉันมาก ๆ เพราะอติเรกลาภมาก ๆ ทำให้ธาตุขันธ์มีกำลังมากขึ้น แต่จิตใจลืมเนื้อลืมตัวขี้เกียจภาวนา ไม่เป็นท่าเป็นทางอะไรเลย มีแต่อาหารพอกพูน ธาตุขันธ์สกลกาย ไม่ได้พอกพูนจิตใจด้วยอรรถด้วยธรรม ใจหากเคยมีธรรมมาบ้างก็นับวันเหี่ยวแห้งแฟบลงไป ถ้ายังไม่มีธรรมเช่นสมาธิธรรมเป็นต้นก็ยิ่งไปใหญ่ ไม่มีจุดมีหมายเอาเลย ธุดงค์จึงต้องห้ามความโลเลในอาหาร เพื่อให้ใจมีทางเดินโดยอรรถโดยธรรม กิเลสจะได้ไม่ต้องพอกพูนมากมาย กายจะได้เบา ใจจะได้สงบเบาในเวลาประกอบความเพียร และสงบได้ง่ายกว่าเวลาที่พุงกำลังบรรจุอาหารเสียเต็มปี๋ นี่มันน่าอับอายขายหน้าพระกรรมฐานจะตายไปที่เอาท้องมาอวดโลก แทนที่จะนำธรรมมาอวดเขา
การอยู่ป่ากับอยู่บ้านผิดกันอย่างไร นี่ต้องต่างกัน ท่านจึงสอนให้อยู่ป่า และการอยู่ป่าธรรมดากับอยู่ป่าเปลี่ยว ความรู้สึกของผู้อยู่นั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง ถ้าผู้มุ่งอรรถมุ่งธรรมอยู่แล้ว การอยู่ในป่าและป่าเปลี่ยวมีความรู้สึกผิดกันอยู่มาก ตลอดถึงความพากเพียรเพื่อความสงบทางใจ ใจสงบได้ง่ายเพราะความไม่ประมาท ความระมัดระวังตน ความมีสติอยู่ในสถานที่ใดก็เป็นความเพียร กิเลสกลัวคนผู้มีสติ คนระมัดระวังตัวอยู่เสมอ แต่กิเลสไม่กลัวคนที่ประมาท พระพุทธเจ้าเปิดช่องเปิดทางด้วยธุดงควัตร เพื่อต่อสู้เอาชัยชนะกับกิเลสให้ ซึ่งเป็นทางที่จะระงับดับกิเลสเท่านั้น ไม่ใช่เปิดทางให้กิเลสเหยียบย่ำทำลายจิตใจเราด้วยธุดงค์เหล่านี้
ธุดงค์เหล่านี้เป็นเครื่องปราบปรามกิเลสสำหรับผู้ปฏิบัติดำเนินตามทั้งนั้น เช่นเที่ยวอยู่รุกขมูลร่มไม้ ตามป่าตามเขาอันเป็นที่เหมาะสม พระพุทธเจ้าและสาวกทั้งหลายอุบัติขึ้นด้วยความบริสุทธิ์จากสิ่งนี้ทั้งนั้น เราผู้ปฏิบัติจึงควรคำนึง อย่าลืมเนื้อลืมตัว อะไรจะมีมากน้อยอย่าลืมเนื้อลืมตัวกับสิ่งเหล่านั้น ไม่ใช่ทางพระผู้ตามรอยพระบาทของพระพุทธเจ้าและสาวกท่าน
มีคนนับถือมากน้อยนั่นเป็นเรื่องของเขา ผู้ปฏิบัติธรรมควรระวังเพราะเป็นกังวลวุ่นวาย ไม่สะดวกแก่ความเพียร ไม่ควรยุ่งกับอะไร นอกจากธรรมกับใจสัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ตลอดเวลาเท่านั้นเป็นความเหมาะสม ถ้าจิตกลายเป็นโลกสงสาร มันจะเลยโลกไปจนหาเขตหาแดน หากำหนดกฎเกณฑ์ไม่ได้ มีคนนับถือมากเท่าไร ใจพระ ใจคนมีกิเลสคอยรับกันอยู่แล้ว มันก็ยิ่งฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม ลืมเนื้อลืมตัว เผยอเย่อหยิ่งยิ่งกว่าน้ำล้นฝั่งนั่นแล เพราะมันเป็นเรื่องของกิเลสไม่ใช่เรื่องของธรรม เรื่องของธรรมต้องสม่ำเสมอ ต้องมีสติไม่ลืมตัวอยู่เสมอ ท่านผู้ปฏิบัติยกตนพ้นทุกข์มาแล้วท่านดำเนินดังที่กล่าวมานี่แล ผู้ต้องการพ้นทุกข์อย่างท่านก็ต้องปฏิบัติแบบท่าน หรือแบบศิษย์มีครู ไม่ใช่จะปฏิบัติแบบถูลู่ถูกัง อวดตนว่าเก่งไม่ยอมฟังเสียงใคร นั่นคือการปฏิบัติเพื่อขึ้นเขียง เพื่อหอมกระเทียม ไม่ใช่เพื่อมรรคผลนิพพาน
เรื่องเหล่านี้เราเคยมีความรู้สึกตั้งแต่เป็นพระหนุ่มน้อย จึงยึดมาเป็นคติได้อย่างดี เราเคยเห็นคนมานับถือครูบาอาจารย์ มันรู้สึกอะไร ๆ ในจิตใจพิกล เป็นความรู้สึกอยากจะให้เขามีความเคารพนับถือตนอย่างนั้น นี่มันมีขึ้นภายในใจ แต่ตอนนั้นมันมีความรู้อย่างนั้น และรู้ว่าจิตเราหยาบมีความปรารถนาลามกขึ้นมา เป็นแต่ไม่ส่งเสริม คอยสกัดเอาไว้และรู้โทษของตัวอยู่เสมอ
เวลามาปฏิบัติเข้าจริง ๆ แล้วก็ยิ่งรู้ชัดว่านั่นเป็นความผิด ความคิดเช่นนั้นไม่ใช่ความถูกต้องเลย นั่นคือความคิดอึ่งอ่างกับวัว นำตัวเข้าไปเทียบกับท่านโดยมิใช่ฐานะ ฐานะของท่านเป็นขนาดครูอาจารย์ ฐานะของเราเท่ากับอึ่งอ่างที่นอนจมอยู่ใต้ดิน จะนำตัวเข้าไปเทียบกับวัวได้อย่างไร ถ้าไม่อยากท้องแตกตายเหมือนอึ่งอ่างกับวัวในนิทานอีสป นิทานนี้จึงเป็นคติได้ดีมากสำหรับพระผู้ปฏิบัติเพื่อความพ้นทุกข์โดยชอบธรรม
ธุดงค์ข้อเยี่ยมป่าช้า การเยี่ยมป่าช้าไปเยี่ยมทำไม ความจริงคนเราต้องเห็นสิ่งที่เป็นสักขีพยานมันถึงจะรู้เนื้อรู้ตัว ถึงจะได้สติ การเยี่ยมป่าช้าก็ไปเห็นความตายของคน ป่าช้าแต่ก่อนไม่เหมือนทุกวันนี้ มีป่าช้าผีดิบทิ้งเกลื่อนกันอยู่ในที่นั้น ๆ ทั้งตายเก่าตายใหม่ทิ้งเกลื่อนกันอยู่เหมือนท่อนไม้ เมื่อไปดูแล้วก็เห็นประจักษ์ชัดเจนเป็นสักขีพยาน
ท่านสอนไว้ในการไปดูป่าช้าเยี่ยมป่าช้า ให้ไปทางเหนือลม ไม่ให้ไปทางใต้ลม ถ้าซากอสุภที่ตายใหม่ก็อย่าด่วนเข้าไป ให้ไปดูซากอสุภที่ตายเก่าก่อน พิจารณากรรมฐานเรื่อย ๆ และค่อยขยับเข้าไป ๆ จนรู้ว่าใจเรามีสติปัญญาสามารถพอจะพิจารณาซากอสุภที่ตายใหม่ได้ ค่อยขยับเข้าไปพิจารณาอสุภที่ตายใหม่ เพราะที่ตายใหม่มันยังมีรูปร่างลักษณะปกติ ถ้ารูปร่างที่ตายใหม่สวยงาม ความสวยงามอาจทำให้ราคะกำเริบได้ และอาจเป็นกรรมฐานแหวกแนวไปได้ จึงต้องระวัง
ท่านสอนให้เป็นระยะ ๆ การเยี่ยมป่าช้าก็ให้ไปตามระยะหรือขั้นตอน และพิจารณาตามระยะที่เหมาะกับภูมิของตน ไม่ใช่ผลุนผลันก็จะเข้าไปเยี่ยม ทำอย่างนั้นไม่เหมาะ ท่านสอนไว้หมด ซากอสุภอันใดที่ยังไม่ขาดไม่วิ่นไม่มีอะไรกัดกิน เนื้อยังไม่เน่าไม่พองยังใหม่ ๆ เอี่ยม ๆ อยู่อย่าเพิ่งเข้าไป เฉพาะอย่างยิ่งภาพที่เป็นเพศตรงกันข้ามให้ระวังท่านว่า จนกระทั่งจิตใจมีความสามารถพอจะพิจารณาได้แล้วก็พิจารณาได้หมด
เมื่อพิจารณาความตายข้างนอกเป็นสักขีพยานแล้ว มันก็ย้อนเข้ามาพิจารณาความตายภายในกายของตน จนได้หลักได้เกณฑ์ขึ้นภายในจิตแล้ว ป่าช้าภายนอกก็ค่อย ๆ หมดความจำเป็นไป เพราะได้หลักขึ้นภายในตัวเราแล้ว ไม่ต้องไปอาศัยภายนอก พิจารณาร่างกายของเราให้เป็นป่าช้าเหมือนป่าช้าภายนอก ทั้งความเป็นอยู่และความตายไป เทียบกันได้ทุกสัดทุกส่วนกับภายนอกแล้ว ใจก็ค่อยหมดปัญหาไปเอง
เนสัชชิ การไม่นอนเป็นคืน ๆ ไป ก็เพื่อการฝึกการทรมานตนประกอบความพากเพียรให้มากนั่นเอง แต่ไม่ได้หมายถึงไม่นอนตลอดไป เราจะอธิษฐานเช่นไม่นอนคืนนี้ก็เป็นเนสัชชิ ธุดงค์ข้อนี้เป็นกาลเป็นเวลา เป็นคราว ๆ ไป หรือจะไม่นอนสองคืนสามคืนก็แล้วแต่ตั้งสัจอธิษฐานในธุดงค์ข้อนี้
เสนาสนะที่ท่านจัดให้อย่างไรก็อยู่ตามที่ท่านจัดให้ นี่เป็นธุดงค์ข้อหนึ่ง มีแต่เรื่องปราบกิเลสความลืมตัวของพระทั้งนั้น
ผู้ที่มีธุดงควัตรดี ผู้ที่หนักแน่นในธุดงควัตร ก็คือผู้หนักแน่นในข้อปฏิบัติ คือผู้ตั้งใจเพื่ออรรถเพื่อธรรม เพื่อปราบปรามกิเลสอย่างแท้จริง ไม่ใช่ผู้บวชเข้ามาอยู่เฉย ๆ ลืมเนื้อลืมตัว ในธุดงค์ ๑๓ นี้เป็นเครื่องมือสำหรับปราบปรามกิเลสของผู้ปฏิบัติตามทั้งนั้น ไม่มีอะไรเป็นข้อต้องติได้เลย นอกจากจำพวกเทวทัตเท่านั้นจะตำหนิได้ลงคอ
คนไม่มีธุดงควัตรนั้นแลคือคนวัตรร้าง คนลืมเนื้อลืมตัว สักแต่ว่าเพศของพระเฉย ๆ เอาผ้าเหลืองมาห่อตัวแล้วก็ว่าตัวเป็นพระแล้วเย่อหยิ่ง ยิ่งตั้งยศถาบรรดาศักดิ์ให้เป็นปลัด ให้เป็นสมุห์ ให้เป็นพระครู ให้เป็นเจ้าฟ้าเจ้าคุณ จนกระทั่งให้เป็นสมเด็จขึ้นไปด้วยแล้ว….เอาเถอะ ถ้าใจกำลังเห่อ ๆ ในเรื่องเหล่านั้นอยู่แล้ว มันต้องตื่นเงาตื่นบ้าขึ้นมาเลย โดยไม่ต้องมีปี่มีขลุ่ยมีเครื่องดนตรีแตรวงมาส่งเสริมแหละ ใจมันหากส่งเสริมมันเอง ด้วยอำนาจดินเหนียวติดหัวเข้าใจว่าตนมีหงอนไปทีเดียวแหละ ขึ้นชื่อว่ากิเลสนี้มันยอมอ่อนข้อต่อใครเมื่อไร
เรื่องของพระเลยลืมไปหมด กลายเป็นโลกไปเลย เลยโลกไปอีก ที่ท่านตั้งก็เพื่อให้การส่งเสริมในการประพฤติปฏิบัติดี แต่แทนที่จะเป็นอย่างนั้นจิตใจเลยกลับหยิ่ง กลายเป็นการทำลายตัวเอง ฆ่าตัวเองไปด้วยความสำคัญต่าง ๆ ขึ้นมา ท่านตั้งชื่อตั้งนามให้ว่าเป็นนั้นเป็นนี้ เราก็สำคัญว่าเป็นหงอนไปเสีย ความจริงมันดินเหนียวติดหัวต่างหาก ไม่ใช่หงอนโดยหลักธรรมชาติ อยากให้เป็นหลักธรรมชาติจริง ๆ ก็ปฏิบัติตัวให้ดีซิ อะไรจะเลิศยิ่งกว่าพระในหลักธรรมชาติล่ะ คำว่าพระก็แปลว่าประเสริฐแล้วนั่น จะหลงไปกับดินเหนียวไปกับตุ๊กตาอะไรอีก
พระไม่ใช่ประเสริฐแต่ชื่อ ต้องประเสริฐด้วยการประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมวินัย มีธุดงควัตร เป็นต้น มีความหนักแน่นในธุดงควัตร จะค่อยเป็นผู้ประเสริฐขึ้นมาโดยหลักการปฏิบัติของตน สุดท้ายก็โดยหลักธรรมชาติ ประเสริฐโดยหลักธรรมชาติของใจที่บริสุทธิ์หมดจดแล้ว ไม่ได้ประเสริฐด้วยชื่อด้วยนามอะไร ตั้งวันไหนก็ได้ โน่น ตั้งขึ้นฟากฟ้าก็ได้เป็นไรไป การตั้งชื่อก็ยกยอกันไปอย่างนั้นแหละ นี่แหละโลกธรรม เสกสรรปั้นยอกันไป ผู้เสกสรรปั้นยอขึ้นท่านก็มีเจตนาดี เราก็ให้สนองเจตนาของท่าน ด้วยการตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามหลักธรรมหลักวินัย หน้าที่ของพระให้สมบูรณ์แบบ มันก็สมกับท่านตั้งชื่อตั้งนามเพื่อส่งเสริมพระให้ดี
อย่าเอาการตั้งชื่อตั้งนาม เอาชื่อเหล่านั้นมาทำลายตัวเอง ด้วยความเย่อหยิ่งจองหองต่าง ๆ ก็แล้วกัน ฉะนั้นความสมบูรณ์ที่สุดตามหลักธรรมชาติโดยไม่ต้องเสกสรร ก็คือการปฏิบัติตัวให้ดี ศีลก็รักษาให้ดี อย่าฝ่าฝืนล่วงเกิน การภาวนาก็ทำจิตให้มีความสงบร่มเย็นด้วยจิตตภาวนา จะกำหนดธรรมบทใดก็ให้มีความจริงจังต่อธรรมบทนั้นด้วยความมีสติ เวลาพิจารณาก็พิจารณาลงไปให้เกิดความเฉลียวฉลาด แยกธาตุแยกขันธ์อายตนะออกให้เห็นตามความจริงของมัน ดังที่เคยอธิบายให้ฟังหลายครั้งหลายหนแล้ว
ธาตุคืออะไร ธาตุก็คือธาตุสี่ ดิน น้ำ ลม ไฟ ซึ่งเป็นธาตุเดิม เป็นสิ่งดั้งเดิมมีอยู่ดั้งเดิม มาผสมกันเข้า มีจิตเป็นตัวการเข้ามายึดเป็นเจ้าของ ก็เลยเรียกว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลไป ทั้ง ๆ ที่ส่วนนั้น ๆ เป็นธาตุอยู่ตามหลักธรรมชาติของเขา ใครจะเสกสรรปั้นยอว่าเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นอะไร ก็หาได้เป็นไปตามไม่ คงเป็นธาตุนั้น ๆ อยู่ตามเดิมของเขา เราก็ให้ทราบด้วยปัญญาของเราโดยทางพิจารณา
อายตนะความสืบต่อ อายตนะภายในภายนอก ภายในคือตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ภายนอกคือรูป เสียง กลิ่น รส เครื่องสัมผัส ที่เข้ามาสัมผัสสัมพันธ์กับอายตนะภายใน เกิดความรู้สึกขึ้นมา แล้วเกิดความสำคัญไปต่าง ๆ นานา ส่วนมากไปในทางที่ผิด ให้แยกแยะดูให้ดี นี่ท่านเรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาแปลว่าความเห็นแจ้ง รู้แจ้งเห็นจริง ไม่รู้แบบปลอม ๆ หลอก ๆ หลอน ๆ
จงทำหน้าที่ของตัวให้ถูกต้องและสมบูรณ์ จิตใจหวังพึ่งเราอยู่เสมอ เพราะจิตใจไม่สามารถอยู่โดยอิสระลำพังตัวเองได้ ถูกกดขี่บังคับจากความโลภ ความโกรธ ความหลง ราคะตัณหาประเภทต่าง ๆ อยู่เรื่อยมา ใจจึงเรียกร้องหาความช่วยเหลือจากเราอยู่ตลอดเวลา เราจะเอาอะไรเข้าช่วยเหลือจิตใจที่ถูกกดขี่บังคับอยู่ตลอดเวลานั้นให้พ้นจากภัยได้ ถ้าไม่เอาข้อวัตรปฏิบัติคือ สมาธิ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร เข้าเป็นเครื่องบุกเบิกเพิกถอน ช่วยจิตให้พ้นภัยจากเครื่องบีบบังคับ
เวลานี้เรามาเปลื้องภัยที่มีอยู่ภายในใจ เราต้องพยายามทำทุกวิถีทางที่จะปลดเปลื้องให้ได้ หลักใหญ่ของการปฏิบัติก็คือ จงมีความหนักแน่นแก่นนักรบ หวังจบชีวิตในสงครามล้างโลกออกจากใจ ถ้าไม่ชนะก็ต้องตายถวายชีวิตเป็นพุทธบูชา ธรรมบูชา สังฆบูชา ไปเลย  อย่าถอยหลังด้วยความพ่ายแพ้จะเสียหน้าและถูกกิเลสเย้ยหยันไปนาน ทนความต่ำต้อยน้อยหน้า อับอายกิเลสวัฏฏ์ไม่ไหว ไปโลกไหนจะมีแต่กิเลสตามชี้หน้าว่า มาเกิดแบกกองทุกข์หาสมบัติอะไรไอ้คนไม่เป็นท่า รบกันทีไรแพ้เราหลุดลุ่ยทุกที ไม่เคยมีคำว่า ชนะบ้างเล้ย นั่นฟังซิ พวกเราชาวนักรบเพื่ออยู่จบพรหมจรรย์ คำชี้หน้าด่าทอของกิเลสน่ะมันเจ็บแสบไหม เราเองเจ็บแสบลงถึงขั้วหัวใจแม้ตายก็ไม่มีวันลืม พวกเรามีความรู้สึกอย่างไรบ้าง พอมีแก่ใจฮึดสู้กับมันด้วยการถวายหัวบ้างไหม
พระพุทธเจ้าของเราเป็นชาติแห่งนักรบเต็มพระองค์ ทุกพระอาการที่เคลื่อนไหวล้วนเป็นความห้าวหาญชาญชัย ในการต่อสู้กับกิเลสไม่ท้อถอยจนกิเลสบรรลัย กลายเป็นศาสดาขึ้นมาให้โลกได้กราบไหว้บูชามาจนบัดนี้ ร่องรอยที่ทรงดำเนินมายังสด ๆ ร้อน ๆ ด้วยสวากขาตธรรมทุกบททุกบาท ไม่เคลื่อนคลาดเลื่อนลอย จงยึดท่านเป็นหลักใจหลักปฏิบัติตลอดไปทุกลมหายใจขาดดิ้น อย่าปล่อยวาง
แดนชัยชนะเมื่อมวลกิเลสหงายตึงลงไปแล้ว ไม่ต้องถามหากรู้เอง ด้วยสันทิฏฐิกธรรมของผู้ปฏิบัติทุก ๆ รายไป พระองค์มิได้ผูกขาดแต่ผู้เดียว ทรงมอบไว้กับนักปฏิบัติทุกท่านได้ครองทั่วหน้ากัน อย่างสง่างามในท่ามกลางแห่งโลก อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เมื่อขันธ์หมดความสืบต่อแล้ว ก็ครองอนุปาทิเสสนิพพานโดยสมบูรณ์หายห่วง
ธรรมคือธรรมชาติที่เกษมสมบูรณ์ ฝ่ายเหตุเป็นธรรมเหมาะสมกับการแก้การถอดถอนกิเลสทุกประเภท ไม่มีกิเลสตัวใดเหนือธรรมนี้ไปได้เลย พระองค์ตรัสไว้ชอบทุกสิ่งทุกอย่างทุกแง่ทุกมุมแล้วในการแก้กิเลสทุกประเภท ไม่มีอะไรเหนือธรรมนี้ เฉพาะอย่างยิ่งมัชฌิมาธรรม มีศีล สมาธิ ปัญญาเป็นต้น ที่ย่นย่อเข้ามาแล้ว นี่คือธรรมฝ่ายเหตุ อุบายวิธีการที่จะฝึกฝนอบรมอย่างไร พระองค์ทรงสอนไว้อย่างพร้อมมูล ส่วนธรรมฝ่ายผลก็เป็นไปตามลำดับชั้น จิตมีความมั่นคงไม่แส่ส่ายเอนเอียงไปตามอารมณ์ จิตมีความสงบร่มเย็น มีความสม่ำเสมอคือจิตเป็นสมาธิ จิตมีความแกล้วกล้าสามารถ มีความฉลาดรู้รอบตัวในสิ่งที่มาสัมผัสเกี่ยวข้องทั้งภายนอกภายใน นี่คือจิตเป็นปัญญาและมีความเฉลียวฉลาดมากขึ้น ละเอียดยิ่งกว่านั้นจนฉลาดรอบตัวแล้ว ก็ถึงความหลุดพ้น เป็นธรรมทั้งดวง คือ จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เป็นเอกีภาพ ไม่มีคู่แข่งแย่งชิงดังแต่ก่อน
สำหรับในความรู้สึกของผมเอง จะผิดหรือถูกก็กรุณาพิจารณาเอาเอง แต่เป็นความแน่ใจว่าศาสนธรรมที่เป็นคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้น ท่านพูดไว้ส่วนมากเป็นฝ่ายเหตุ แสดงให้ฟังเรื่องเหตุคือการดำเนินเพื่อแก้หรือถอดถอนกิเลส หรือเพื่อบำเพ็ญความดีทั้งหลาย ผลคือความสุข นี้เป็นแต่แนวทางเป็นเครื่องชี้ทางเท่านั้น
ส่วนธรรมอันแท้จริงที่จะเกิดขึ้นจากการปฏิบัตินั้น จะให้ชื่อไม่ให้ชื่อก็ตาม นั้นเป็นธรรมในหลักธรรมชาติ ธรรมนั้นเราไม่สามารถอาจเอื้อมเข้าถึงได้อย่างง่าย ๆ ธรรมนี้แลที่ว่ามีอยู่กับโลกตลอดกาล ส่วนธรรมที่เป็นพระโอวาท มีการเสื่อมสูญอันตรธานไปในบางกาลบางสมัย ดังพระพุทธเจ้าทั้งหลายมาตรัสรู้สืบทอดกันมาโดยลำดับ นี่ก็แสดงความไม่แน่นอนของศาสนธรรมให้เห็นชัดอยู่แล้ว จึงไม่เหมือนธรรมในหลักธรรมชาติที่มีอยู่เป็นอยู่ดั้งเดิม ไม่มี อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา เข้าไปยุ่งเกี่ยวให้ธรรมนั้นมีขึ้นและให้ธรรมนั้นสิ้นไป
อุบายที่พระพุทธเจ้ามาประทานแก่โลกแต่ละพระองค์ ๆ นั้น ท่านเรียกว่าศาสนธรรม อันนี้ไม่ใช่ธรรมแท้ เป็นอุบายเป็นแขนงต่าง ๆ เป็นกิริยาอาการของธรรมแท้ที่แสดงออกของวิธีการที่จะละหรือที่จะบำเพ็ญ คือสอนให้ละสอนให้บำเพ็ญด้วยวิธีการต่าง ๆ และผลจะเป็นอย่างนั้น ๆ
ส่วนธรรมที่เป็นฝ่ายผลจริง ๆ ในหลักธรรมชาติ เป็นสิ่งจะรู้ขึ้นภายในใจของผู้ปฏิบัติโดยเฉพาะ ธรรมนั้นพูดไม่ค่อยถูกต้องตามเป็นจริงนัก พอเลียบ ๆ เคียง ๆ ไปเท่านั้น ยิ่งเป็นวิมุตติหลุดพ้นด้วยแล้วพูดไม่ถูกเลย เพราะพ้นจากสมมุติความคาดหมายไปหมดแล้ว พูดไม่ถูก แม้จะรู้อยู่อย่างเต็มใจก็พูดไม่ได้พูดไม่ถูก เหมือนพูดเรื่องความเอร็ดอร่อย ความอิ่มจากการรับประทานนั่นแล แม้จะอยู่ในวงสมมุติพอจะพูดถูกตามความจริงได้ และต่างคนต่างลิ้มรส ต่างคนต่างอิ่มมาด้วยกัน แต่ก็พูดกันไม่ถูกกับความจริงนั้นเลย
ธรรมที่พูดไม่ได้นั้นแหละคือธรรมแท้ ไม่มีคำว่าเสื่อมสูญอันตรธาน เป็นแต่โลกไม่สามารถอาจเอื้อมรู้ธรรมนั้น สัมผัสธรรมนั้นได้เท่านั้นเอง ส่วนจะให้ธรรมสูญไปนั้นสูญไม่ได้ เมื่อประพฤติปฏิบัติตามอุบายวิธีที่พระพุทธเจ้าแต่ละพระองค์ประทานไว้ ก็จะสามารถสัมผัสรับรู้ธรรมนั้นได้ ใจกับธรรมก็กลายเป็นความรับทราบ กลายเป็นภาชนะเป็นเครื่องรับรองธรรมได้อย่างถูกต้องเหมาะสม และไม่มีภาชนะใดที่จะเหมาะสมในการรับธรรมทุกขั้นได้ยิ่งกว่าใจ เมื่อเข้าถึงธรรมเต็มขีดเต็มแดนแล้ว ธรรมกับใจก็เป็นอันเดียวกัน จิตเป็นธรรม ธรรมเป็นจิต เอกีภาโว มีความเป็นอันเดียวเท่านั้น ไม่แยกเป็นสองกับสิ่งอื่นใด
ธรรมที่เป็นเอกีภาพนี้ ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของแต่ละราย ๆ จะสามารถอาจเอื้อมรู้เห็นได้ ไม่ขึ้นอยู่กับกาลสถานที่ เวล่ำเวลาและสิ่งใดบุคคลใดเลย สำคัญอยู่กับการปฏิบัติให้ถูกต้องเหมาะสมเท่านั้น จะเป็นเครื่องสนับสนุนให้จิตสัมผัสรับรู้ธรรมเป็นขั้น ๆ ไปจนถึงขั้นสูงสุด เราจึงควรตั้งใจและมีความมุ่งมั่นเป็นหลักดำเนิน
อย่าลืมคำว่า พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ ดังที่เคยกล่าวมาแล้ว ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ได้เคยอธิบายแล้ว สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ อย่าลืมวิธีดำเนินของท่าน ท่านเป็นผู้ได้รับความสมบุกสมบันแทบล้มแทบตายมาแล้วแทบทั้งนั้น ก่อนที่จะได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา ไม่ใช่เป็นผู้ล้างมือเปิบ แต่พวกเราทำด้วยความยุ่งยากปากหมองลำบากลำบนแทบเป็นแทบตายถ่ายเดียว…..ไม่ใช่อย่างนั้น ท่านลำบากลำบนเช่นเดียวกับเรา หรือยิ่งกว่าพวกเราเป็นไหน ๆ ก่อนที่จะได้เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ เพราะพระสาวกทั้งหลายที่เป็น สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ นี้ มีชาติชั้นวรรณะต่างกัน บางองค์ก็มาจากสกุลพระราชามหากษัตริย์ เจ้าขุนมูลนาย ซึ่งมีความเป็นอยู่ละเอียดสุขุม มียศเป็นกษัตริย์ ราชอำมาตย์ และเป็นเศรษฐีกุฎุมพี ลงมาจนถึงพ่อนาตาสีตาสาคนธรรมดาเรา
เมื่อคนมีชาติชั้นวรรณะต่างกัน และเคยได้รับความสะดวกสบายทางบ้านเมืองเหย้าเรือนมาแล้ว เวลาออกมาปฏิบัติ ต้องฝึกหัดดัดกายวาจาใจให้เป็นแบบเดียวกันที่เรียกว่า แบบศากยบุตรทำไมท่านจะไม่ขัดข้อง ทำไมท่านจะไม่ลำบาก การขบการฉันการรับประทานอยู่ในบ้านเป็นอย่างหนึ่ง เวลาออกมาเป็นพระแล้วอาศัยขอทานเขากิน แทนที่จะได้ฉันสิ่งนี้ก็ได้ฉันสิ่งนั้น แทนที่จะได้ฉันร้อนกลับได้ฉันเย็น แทนที่จะได้ฉันมากกลับได้ฉันน้อย ไม่สมใจที่ต้องการ เหล่านี้จะไม่เป็นความลำบากได้อย่างไร.ต้องลำบาก ฉันแล้วสิ่งสำคัญก็คือการฝึกฝนทรมานจิตใจปราบกิเลส กิเลสเป็นข้าศึกเป็นคู่ต่อสู้ธรรมภายในใจอย่างยิ่งเรื่อยมา ไม่มีข้าศึกใดที่จะมีกำลังวังชาและมีความเฉลียวฉลาดแยบยลยิ่งกว่ากิเลส ที่เคยครองอำนาจบนหัวใจสัตว์โลกมานาน
เพราะฉะนั้น จึงต้องผลิตสติปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขึ้นให้พอกับการปราบปรามกิเลส ไม่เช่นนั้นก็จะบกพร่องในการรบ ความบกพร่องในการรบไม่ใช่ของดี ต้องทำให้บกพร่องในผลที่จะพึงได้รับด้วย การผลิตสติ ปัญญา ศรัทธา ความเพียร ขึ้นให้เหมาะสมกับการปราบกิเลสทุกประเภทโดยลำดับ ๆ จึงเป็นทางแห่งชัยชนะของผู้บำเพ็ญจะพึงได้รับอย่างสมบูรณ์ เป็นอิสรเสรีในวันหนึ่งแน่นอน
บรรดาสาวกทั้งหลายท่านก็ปฏิบัติมาอย่างนี้แทบทั้งนั้น จนกระทั่งถึงความหลุดพ้น ท่านหลุดพ้นจากทุกข์ไปได้เพราะความตะเกียกตะกาย แล้วก็กลายมาเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเรา จึงอย่าลืม สรณะ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ไม่ใช่ผู้ล้างมือเปิบ แต่เป็นผู้ตะเกียกตะกายมาแทบล้มแทบตายเช่นเดียวกับเรา ๆ ท่าน ๆ นี้แล ให้คิดและยึดท่านเป็นตัวอย่าง อย่าเอาเรื่องขี้หมูราขี้หมาแห้งกลางบ้านกลางเมือง ซึ่งไม่มีคุณค่าไม่มีราคาหาหลักเกณฑ์ไม่ได้มาเป็นหลักใจ จะกลายเป็นคนเหลวไหลเหลวแหลกแหวกแนว หาความดี หาความพ้นทุกข์ หาความสุขความเจริญ หาหลักหาเกณฑ์ไม่เจอตลอดวันตาย เมื่อเป็นเช่นนั้นความเอิบอิ่มในงานและผลของงานก็ไม่มีภายในใจ ฉะนั้นจงพากันตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติ
พระธรรมของพระพุทธเจ้านั้นใหม่เอี่ยมอยู่เสมอ อย่าลืมว่าใหม่เอี่ยมเสมอมัชฌิมาปฏิปทาคือธรรมใหม่เอี่ยม ไม่อับเฉา ไม่เก่าแก่คร่ำคร่าชราเหมือนวัตถุต่าง ๆ ที่เราใช้มานาน มัชฌิมาคือท่ามกลาง ธรรมเป็นที่เหมาะสมแก่การแก้กิเลสทุกประเภทอยู่ตลอดมา สุดท้ายก็เป็นมัชฌิมาในหลักธรรมชาติ เพราะการแก้กิเลสหลุดพ้นไปแล้วภายในจิต กลายเป็นจิตมัชฌิมาคือเสมอตัวภายในใจตลอดไป
อย่าเอาใครมาเป็นแบบเป็นฉบับ ยิ่งกว่าพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ส่วนมากจิตมักจะเอาสิ่งที่ต่ำมาเป็นแบบฉบับ นั่นละจึงต้องพูดว่า อย่าเอาใครมาเป็นแบบฉบับนอกจากพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ครูบาอาจารย์ที่ท่านพาดำเนินมาด้วยความดีความชอบ ด้วยความเหมาะสม อันเป็นคติตัวอย่างดีอยู่แล้วสำหรับเราผู้มุ่งหน้าไปศึกษากับท่าน ท่านก็เอามาจากวิธีการของพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เหมือนกัน
หากเกิดความท้อถอยอ่อนแอขึ้นมา ให้รำพึงถึงป่าช้าความเกิดตายที่จะเผาเราอยู่ตลอดไป ว่านี้เป็นของดีแล้วหรือ การตะเกียกตะกายเพื่อความเพียรนั้น แม้จะมีความทุกข์ยากก็เป็นการตัดทอนภพชาติให้น้อยลง มากกว่านั้นก็ตัดภพชาติอันเป็นกองทุกข์ที่ใหญ่หลวงออกได้จากจิตใจ ผ่านพ้นไปได้โดยอิสรเสรี ไม่มีกิเลสประเภทต่าง ๆ แม้ละเอียดสุดเข้าย่ำยีบังคับจิตใจนั้น ชื่อว่าเป็นผู้มีอิสระเหนือโลกสงสารอันเป็นสมมุติโดยประการทั้งปวง ด้วยอำนาจแห่งความพากเพียร ด้วยอำนาจแห่งความตะเกียกตะกาย เพราะฉะนั้น จงถือความพากเพียร ความตะเกียกตะกาย ความอุตส่าห์พยายาม นี้เป็นหลักชัยหรือหลักดำเนิน เราจะถึงความพ้นทุกข์ในวันใดวันหนึ่งแน่นอน ใครไม่มีอำนาจมาบังคับหรือให้คะแนนเรา เราเป็นผู้ให้คะแนนเราเอง

ที่มา---Lungta.com

No comments:

Post a Comment

การให้อภัย