4.6.11

เรื่องของหมอผี.....



      คำว่าผีในที่นี้ขอให้ทุกคนเข้าใจว่าเป็นความตาย ปกติชีวิตของเรามีความตายเป็นที่สุดรอบ ทุกชีวิตในโลกเกิด  เท่าไรตายเท่านั้น ความตายจึงเป็นหน้าที่ของชีวิต เป็นเรื่องที่เราท่านทั้งหลายที่ยังมีชีวิตต้องรีบทำความเข้าใจโดยด่วน ใครเข้าใจก่อนคนนั้นโชคดี  ที่ว่าเข้าใจคือมันเข้าไปในใจจริงๆให้ใจมันเชื่อของมันเอง ให้ใจมันยอมรับของมันเอง ให้ใจมันรู้ของมันความตายมันมาพร้อมความเกิด เกิดอยู่ที่ไหนตายมันก็อยู่ที่นั้นเหมือนกับเงาที่ติดตามตัว ที่บอกว่าใครรู้จักความตายเป็นผู้โชคดีก็เพราะว่าความตายเป็นตัวทุกข์ คนเห็นความตายคือ  เห็นทุกข์ เห็นเวลาของชีวิตที่จำกัดไม่แน่นอน  นำมาสู่การใช้เวลาของชีวิตที่เหลืออยู่อย่างคุ้มค่า ความตายที่ว่านี้เขาเรียกว่าความตายปกติเวลาเราตาย  ไปแล้วเขาก็เรียกว่าเราเป็นผี ความตายอีกอย่างที่น่ากลัวยิ่งกว่าความตายปกติคือ ตายผิดปกติ เราจะได้ยินคำนี้บ่อยในหน้าหนังสือพิมพ์ เช่นอาการตายโดยถูกผู้อื่นกระทำ หรือกระทำเสียเองที่เรียกว่าฆ่าตัวตาย แต่ความจริง
อาการตายทั้งหมดที่กล่าวนี้เขารวมเรียกว่าการตายปกติ  ผู้ที่พิจารณาหรือเห็นความตายตามความเป็นจริงจะเข้าใจ
สรุปว่าการแตกแห่งสังขารเรียกว่าการตายปกติ ท่านผู้รู้ย่อมไม่ทุกข์กับความตายแบบนี้ ที่นี้เรามารู้จักความตายผิดปกติที่แท้จริง หรือมารู้จักผีอีกตัวหนึ่ง ตัวนี้สำคัญมากถ้าเราปลุกให้มันตื่นได้ เราจะไม่ต้องไปทุกข์หรือไปกลัวความตายใดๆทั้งสิ้นอีกเลย และที่สุดของความเข้าใจคือเราไม่ต้องกลับมาตายอีกเลย ไอ้ผีตัวนี้คือความรู้ไม่จริง   ชีวิตที่วิ่งไปตามความอยากในโลก โดยไม่รู้จักความพอ โดยไม่เห็นคุณค่าในวันเวลาของชีวิตเรารู้วันเกิดแต่เราไม่รู้จักวันตาย ชีวิตในโลกที่เห็นดำเนินไปตามเหตุและปัจจัย
 แก้ไขและหลีกเลี่ยงไม่ได้   แต่เราสามารถสร้างเหตุแห่งปัจจัยอันประเสริฐได้ในปัจจุบัน ขอเพียงแต่เราหยุดและลองฟังเสียงทิพย์อันอ่อนโยน อันพระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว ด้วยความเป็นผู้อันมีโชคคือบุญอันมหาศาล ที่ท่านทั้งหลายสะสมไว้ด้วยดีจึงเกิดมาพบพระศาสนา พระธรรมที่ทรงแสดงเป็นธรรมเครื่องออกจากทุกข์ อะไรที่เราคิดว่าเป็นทุกข์ออกได้หมด สำคัญที่เราต้องรู้จักทุกข์เห็นตัวทุกข์ตามความเป็นจริง ตอนเราผิดหวังในเรื่องต่างๆในโลก มีการพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่พอใจเป็นต้น ช่วงต้นๆก็มีแต่อารมณ์ผิดหวังและเศร้าหมองหนักหน่อยคิดไม่เป็นก็ทำร้ายสังขารบางทีก็ฆ่าตัวตายเพื่อ หนีเรื่องราวต่างๆที่ประดังมาจนรับไม่ไหว เรื่องราวต่างๆในโลก เป็นไปตามเหตุและปัจจัยขอเพียงสร้างกำลังใจขึ้นมา ทุกเรื่องมีเกิดได้ก็มีดับได้ คือมีทางออก แต่ความจริงตัวทุกข์ไม่ใช่หมด เพราะทุกข์มันมาพร้อมกับ
ความเกิด ทุกครั้งที่เกิดขึ้นมามีทุกข์ร่ำไป ทรงตรัสว่าทุกข์เป็นสิ่งที่ควรกำหนดรู้เรามีความเกิดเป็นธรรมดาทุกข์มันก็จะอยู่คู่กับเราเป็นธรรมดาการเรียนรู้มันจนสามารถเท่าทันและเข้าใจมันเป็นสิ่งปกติอันควร 
ลองหันมาหาความจริงจะพบกำลังใจอย่างประหลาดในการดำเนินชีวิต ไม่หลงและไม่ทุกข์กับความไม่แน่นอนในโลกจนเกินเหตุ เมื่อนิพพิทาเกิดขึ้นคือเริ่มเบื่อหน่ายในทุกข์ เริ่มเห็นทุกข์ในทุกอณูของความเกิดมายาต่างๆ  ในโลกย่อมถูกเปิดเผย ความเข้าใจในการละเสียและปล่อยวางในเหตุแห่งทุกข์ย่อมปรากฏ
ตรงกับพระดำรัสที่ว่า  สมุทัยเป็นสิ่งที่ต้องกำหนดละ ความกระจ่างคือความแจ้งย่อมปรากฏชัดในกระมนสันดาน เปรียบประดุจบุคคล ที่ติดอยู่ในที่มืดมิดเห็นคุณค่าของแสงสว่างฉะนั้น เขาผู้รู้ว่าตัวเองผู้ตกอยู่ในความมืด มีโอกาสในการทำแสงสว่างให้เกิดขึ้นและยัง พบอุปกรณ์อันควรที่จะทำให้เกิดแสงสว่าง ความลังเลในการที่จะทำให้เกิดแสงสว่างสำหรับเขาย่อมไม่มี...ทรงตรัสว่า นิโรธเป็นสิ่งที่ต้องทำให้แจ้ง มรรคเป็นสิ่งที่ควรเจริญ การที่จะมีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกเป็นของยาก การได้ฟังธรรมของพระองค์เป็นของยาก การเกิดเป็นคนเป็นของยาก การเกิดเป็นคนมีศรัทธาในพระศาสนาเป็นของยาก การได้บวชในบวรพุทธศาสนาเป็นของยากเช่นเดียวกัน ชีวิตที่เกิดมาแล้วมัวแต่วิ่งวุ่นอยู่ในโลก ไล่ตามความสุขที่คิดว่าใช่แต่ก็ไม่ถูกคือมันไม่พอสักที สิ่งที่หมดไปคือวันเวลาและวาสนาอันประเสริฐที่เกิดเป็นคน จนบางครั้งแม้แต่ความเป็นคนก็รักษาไว้ไม่ได้ดวงแก้ว(คือการเกิดมาพบพระพุทธศาสนา)ที่ทุกคนถือมา พร้อมกับความเกิดถูกทิ้งไว้โดยไม่ใยดีแม้แต่เพียงเล็กน้อย กลับถูกผีร้ายคือกิเลสชักจูงเขาสู่กระแสแห่งวัฎฎะ คือความเกิดอันหาเบื้องต้นและเบื้องปลายไม่ได้ เหมือนคนตาย(ทั้งเป็น)คือผีที่ปลุกไม่ฟื้นนั่นเอง....

 ที่มา--puttagamo.com

No comments:

Post a Comment

คนมีธรรม