18.12.10

ตาย ก่อน ตาย


บทความของ ศ.น.พ.ประเวศ วะสี
อาจารย์ประเวศ กล่าวว่า ..... แม้ผมจะไม่แขวนพระเครื่อง แต่ก็ไม่ได้ปิดกั้นความเชื่อของแต่ละคนได้ ใครแขวนพระติดตัว อย่างน้อยเชื่อว่าจะเป็นส่วนหนึ่งที่สอนให้เขาเป็นคนดี ส่วนตัวผมไม่แขวนพระเครื่อง เพราะพระพุทธเจ้าอยู่ติดตัวผมตลอดเวลา นี่เป็นเหตุผลของการไม่แขวนพระเครื่องของ ศ.น.พ.ประเวศ วะสี ราษฎรอาวุโส

อาจารย์ประเวศ บอกว่า ..... การแขวนพระเครื่องติดตัว ล้วนแล้วอยู่ที่ความพอใจของคนเรามากกว่า ใครจะแขวนหรือไม่แขวนพระเครื่องก็ได้ ใครชอบก็แขวน ไม่ชอบก็ไม่แขวน สิ่งสำคัญถ้าแขวนพระเครื่องต้องระลึกนึกถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า ถึงการกระทำความดีให้มาก ใครก็ตามที่ขายพระเครื่อง เอาเปรียบคนอื่น ไม่รู้จักทำบุญ ก็เหมือนเป็นการสร้างบาปมากกว่าสร้างบุญ หรือแขวนพระเครื่องแล้วไม่รู้จักการทำความดี การแขวนพระนั้นก็ไม่มีประโยชน์อะไร ปาฏิหาริย์ก็ไม่เกิดขึ้นกับคนนั้น สมัยพุทธกาลในเรื่องของอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ก็มีให้เห็น เช่น พระโมคคัลลานะสามารถเหาะเหินเดินอากาศ หายตัว ดำดินได้จริงก็ตาม แต่พระพุทธเจ้า ไม่แนะนำให้คนเรายึดถือปฏิบัติ เพราะจะทำให้คนเราเดินหลงทางไปได้ ถ้าผู้คนใช้แบบไม่มีสติ ดังนั้นพระองค์จึงใช้หลักคำสอนให้คนเราเกิดปัญญาในการทำความดี และรู้จักในเรื่องของบาปบุญ ใครทำบุญมาก ก็ทำให้สะสมบุญไว้ได้มาก ผลบุญเหล่านั้นก็จะเกื้อกูลตัวเราในภพภูมิต่อไป บาปบุญ ... เป็นเรื่องของมนุษย์ที่เป็นธรรมชาติของการทำความดี เมื่อมนุษย์เราทำความดีแล้ว มนุษย์ก็จะมีความสุข บุญก็คือความดี
ผม ..... เรียนจบคณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล คิดว่า ความดีเหมือนเป็นสารแอนดอฟินส์ที่มันออกในตัว ทำให้คนนั้นมีความสุขทั้งเนื้อทั้งตัว มันทำให้คนนั้น มีภูมิคุ้มกันตัวเองสูง โรคภัยไข้เจ็บก็น้อย ทำให้อายุยืน เพราะฉะนั้นการทำบุญ มันเป็นธรรมชาติของมนุษย์ ซึ่งขาดไม่ได้ ถ้าใครที่ขาดในเรื่องของบุญ ชีวิตก็จะไม่สมบูรณ์ เมื่อเมามัวอยู่กับวัตถุนิยม ความไม่รู้จักพอก็จะมีอย่างต่อเนื่อง หาเติมเท่าไรก็ไม่รู้จักเต็ม เพราะไม่ได้เจอความสุขที่แท้จริง นั่นคือหลักธรรม" นี่คือ คำอธิบายเรื่อง บุญบาปในเชิงวิทยาศาสตร์ของ ศ.น.พ.ประเวศ

และ ยังบอกอีกว่า ..... คนเราเกิดมามีความแก่ ความเจ็บ ความตายเป็นธรรมดา จะล่วงความเป็นธรรมดาเหล่านี้ไปไม่ได้ จะทำให้ความทุกข์ทรมานลดน้อยลง ท่านอาจารย์พุทธทาสกล่าวเอาไว้ว่า การป่วยแต่ละครั้งทำให้ท่านฉลาดขึ้น คือ ใช้การป่วยเป็นเครื่องเรียนรู้ ให้รู้ว่าอะไรเป็นอะไร โดยเฉพาะเรียนรู้ใจตนเอง และฝึกใจตนเอง ให้เห็นความเป็นธรรมดา ความเป็นเหตุปัจจัยหรืออิทัปปัจจยตา ถือโอกาสเจริญสติ เจริญสมาธิ กลับทำให้ได้กำไรจากความเจ็บป่วย ทำให้จิตใจ กลับดีขึ้นกว่าก่อนป่วยด้วยซ้ำ

คน ..... เป็นมะเร็งบางคนถึงกลับพูดว่า "ฉันดีใจที่เป็นมะเร็ง เพราะทำให้ฉันพบความสุขที่ไม่เคยพบมาก่อน" หมายถึง พบความสุขจากการฝึกการเจริญสติ เจริญสมาธิ "หัดตายเสียตั้งแต่ยังไม่ตาย"
ท่านอาจารย์พุทธทาส ..... สอนให้ฝึกตายทุกวัน แล้วจิตใจจะดีขึ้น ชาวพุทธถือมรณานุสติเป็นเรื่องสำคัญ คือการมีสติให้ระลึกนึกถึงความตาย จะมีความยับยั้งไม่ถลำเข้าไป สู่การแสวงหาสิ่งที่เกินความจำเป็น เช่น คนติดเชื้อเอดส์ ต้องเผชิญกับความตายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ บางคนเผชิญ ไปเผชิญมาหมดความกลัวตาย เมื่อไม่กลัวตายก็เป็นอิสระ มีความสงบ มีความสุข และ สุขภาพดี การเผชิญความกลัวใดๆ เช่น กลัวผี โดยไม่หลบหนี ในที่สุดก็จะหายกลัว เพราะการหลบหนีไม่เคยทำให้ความกลัวหายไป

ส่วน ..... ประโยชน์ของการฝึกตายทุกวันนั้น ศ.น.พ.ประเวศ บอกว่า ... ในทางพระพุทธศาสนา มีคำสอนให้มองเห็นตัวเอง ตายเป็นศพขึ้นอืด มีหนอนกินยั้วเยี้ย น้ำหนองไหล ต่อมาเนื้อผุพังไปหมดเหลือแต่กระดูก กระดูกก็หลุดออกจากกัน แตกออกเป็นชิ้นหยาบ ชิ้นละเอียดหายไป ไม่มีอะไรเหลือ เพื่อให้เห็นเป็นอนิจจังและอนัตตา จนกระทั่งคลายจากความยึดมั่นในตัวตน ไม่ได้เป็นแค่ปรัชญา แต่มีวิธีการปฏิบัติที่ปรากฏผลจริง ทำให้มนุษย์มีพัฒนาการ ทางจิตวิญญาณสูงสุดคือ เป็นอิสระจากกิเลสตัณหาโดยสิ้นเชิง ไม่ว่าจะเป็นความแก่ ความเจ็บ ความตาย

คนเรา ..... ตายแล้วไปในสถานที่ต่างๆ มันเป็นความเชื่อของคนบางคนเท่านั้น ซึ่งเราก็อย่าไปดูเฉพาะตายแล้ว ต้องเกิดใหม่ ไปนรก หรือสวรรค์ ตรงนี้พระพุทธเจ้าสอนว่าไม่สำคัญไปกว่าการทำความดี เพียงให้ลดความเห็นแก่ตัว เห็นความสำคัญของคนอื่น คนเราต้องเรียนรู้ตอนใกล้ตาย จะทำให้เกิดปัญญา ผมเห็นหลายคนที่ใกล้ตายแล้ว เขารอดจากความตายมาได้ วิถีชีวิตเขามีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ เขาขยันทำบุญแล้วก็หมั่นทำความดีต่อตนเองและผู้อื่น
.น.พ.ประเวศ ..... เชื่อในการฝึกตาย เพื่อเกิดปัญญา การฝึกตายทุกวันให้มีความรู้สึก ว่าตายทั้งที่ยังไม่ตาย ได้ทำให้เกิดปัญญาแล้ว ศาสนาพุทธยังสอนให้คนเราไปร่วมแสดงความเสียใจต่อบุคคลที่ล่วงลับไปแล้ว ก็เพื่อทำให้ตัวเราเกิดเป็นมรณสติ ให้นึกถึงความตาย ไม่เช่นนั้นคนเราก็จะมีแต่ความอยาก มีแต่กิเลสที่จะเข้ามาเผาผลาญจิตใจให้คนเราเห็นแก่ตัว ไม่สนใจสังคม แต่ถ้ารู้จักนึกถึงความตายสิ่งเหล่านี้ที่เหมือนเราแบกเอาไว้หนักก็จะเบาบางลง การมีสติอยู่กับกายใช้ได้ทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็น ยืน เดิน นั่ง นอน ถ่ายอุจจาระ ปัสสาวะ หรือการทำงาน ในการทำงาน ถ้าเจริญสติไปด้วยจะเพลิดเพลินอย่างยิ่งและไม่เบื่อเลย เช่น กวาดบ้าน ล้างชามจาน ก็ทำให้จิตอยู่กับการเคลื่อนไหว ของแขนและไม้กวาด หรือกับมือและชามจาน จะพบความสุข อันล้นเหลือในงานนั้นๆ ได้หลุดพ้นจากการบีบคั้นของกาละ และเทศะ ไม่กลัวต่อการงานทุกชนิด เพราะการงานทุกชนิดกลายเป็นความสุขไปหมด

ทีมา---บันทึกของน้ำตาล

No comments:

Post a Comment

การให้อภัย