Showing posts with label ผู้เขียนทั่วไป. Show all posts
Showing posts with label ผู้เขียนทั่วไป. Show all posts

20.3.19

อานิสงฆ์ของการถวายข้าวสาร


ในสมัยพระปทุมุตตรสัมมาสัมพุทธเจ้ามีชาวนาผู้ใจบุญท่านหนึ่ง ได้ฟังธรรมจากพระบรมศาสดาแล้ว ก็อยากถวายข้าวสารใหม่ที่ตัวเองลงมือเก็บเกี่ยวกับมือแด่พระพุทธองค์พระองค์ทรงทราบความตั้งใจดีของชาวนาแล้วจึงตรัสสัมโมทนียกถาเพื่อเพิ่มพูนศรัทธาว่า
“ชื่อว่าสงฆ์เป็นผู้ปฏิบัติตรง มีปัญญา
ดังนั้นบุคคลควรจะถวายทานแด่สงฆ์ ข้าวกล้าออกรวงใหม่ของท่านก็เช่นเดียวกัน ควรจะถวายแด่สงฆ์ด้วย ขอให้ท่านจงตั้งจิตทำบุญเป็นสังฆทานมุ่งไปในหมู่สงฆ์ แล้วนิมนต์พระภิกษุทั้งหลายไปสู่เรือนของท่าน เพื่อถวายไทยธรรมที่จัดตกแต่งดีแล้วแด่เนื้อนาบุญเหล่านั้นเถิด”และศีลมีจิตมั่นคง ทานที่ถวายในสงฆ์ย่อมมีผลมาก
จากนั้น ชาวนาก็นิมนต์ภิกษุสงฆ์ไปที่บ้าน ตั้งใจถวายทานแด่หมู่ภิกษุสงฆ์นั้น เมื่อละโลกแล้ว ด้วยผลบุญนี้ ทำให้ชาวนาได้ไปบังเกิดในสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ มีวิมานทองสวยงามผุดผ่อง สูง ๖๐ โยชน์ กว้าง ๓๐ โยชน์เทพบุตรนั้นได้เสวยทิพยสมบัติอันโอฬาร ทั้งได้ครองราชสมบัติในเทวโลก ๓,๕๐๐ ครั้งเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ ๕๐๐ ครั้ง และเป็นพระราชาในเมืองมนุษย์อีกนับไม่ถ้วนครั้ง ทั้งนี้ด้วยผลบุญที่จัดสรรข้าวออกรวงใหม่ถวายแด่สงฆ์นั่นเอง
ในระหว่างการเวียนว่ายตายเกิดท่องเที่ยวไปในวัฏสงสาร ท่านได้รับอานิสงส์อีกมากมายที่เกิดจากการถวายข้าวใหม่ด้วยจิตเลื่อมใส คือ ได้ทรัพย์มากมายจนนับไม่ได้มียานพาหนะใช้สอยมากมาย เช่น ช้าง ม้า วอ คานหาม ได้สิ่งของใหม่ ๆ เช่น ข้าวใหม่ ผ้าใหม่ ผลไม้ใหม่ อาหารใหม่ ๆ ที่มีรสเลิศ ได้ผ้าต่าง ๆ มากมาย เช่น ผ้าไหม ผ้าขนสัตว์ ผ้าฝ้าย มีบริวารรับใช้ทั้งชายหญิง ไม่มีโรคเพราะความหนาวหรือร้อนมาเบียดเบียน ไม่มีความทุกข์ใจเลย มีแต่คนเตรียมความสุขสบายไว้รอพร้อมสรรพ และมักจะได้ยินแต่คำว่าขอเชิญบริโภคสิ่งนี้ หรือขอเชิญนอนให้สบายบนที่นอนอันหนานุ่มนี้เถิด เป็นต้น
แม้ในชาติสุดท้าย บุญนี้ก็คอยตามส่งผลให้ท่านได้แต่สิ่งของที่น่าพอใจอยู่เสมอและเมื่อได้ออกบวชเป็นพระภิกษุแล้ว ท่านจึงมีนามว่า พระสุจินติตเถระ (ผู้มีความคิดดี)
ครั้นบำเพ็ญเพียรจนบรรลุธรรมเป็นพระอรหันต์แล้ว ท่านได้ย้อนระลึกถึงบุพกรรมนั้นและเล่าอานิสงส์ของทานนี้ว่า
การที่เราได้แบ่งข้าวออกรวงใหม่ถวายแด่หมู่สงฆ์ผู้ประเสริฐ เราย่อมได้อานิสงส์ ๘ ประการ อันสมควรแก่บุญที่ทำ คือ
๑. ทำให้มีผิวพรรณผุดผ่อง
๒. ทำให้มียศ
๓. ทำให้มีโภคทรัพย์มากมายที่ใครลักไปไม่ได้
๔. มีข้าวปลาอาหารมากมายรออยู่ทุกเมื่อ
๕. มีมิตรและบริวารที่ไม่แตกแยกร้าวรานกันในทุกเมื่อ
๖. สัตว์บนผืนแผ่นดินล้วนต่างมีความยำเกรง
๗. เมื่อได้บวชแล้ว มักจะได้รับไทยธรรมก่อนพระรูปอื่นเสมอ
๘. นับแต่แสนกัปนั้นเป็นต้นมา ด้วยผลทานนั้นทำให้เราไม่ต้องไปทุคติภูมิอีกเลย
นึกถึงพระ ก่อนนึกถึงตนเอง
จะเห็นได้ว่า เป็นธรรมเนียมที่ดีงามของชาวพุทธว่าจะต้องคัดสรรแบ่งของถวายสงฆ์ก่อนที่ตนจะนำไปบริโภค เรียกง่าย ๆ คือนึกถึงพระก่อนนึกถึงตนเอง และเวลาเลือกของที่จะถวายพระนั้น ก็จะเลือกแต่ส่วนที่ประณีตที่สุด แสดงถึงน้ำใจอันงดงามและรู้หลักการทำบุญที่ถูกต้องว่า การถวายทานที่ประณีตดีเลิศพิถีพิถันเช่นใด ก็ย่อมทำให้ผู้ถวายได้แต่ของที่ประณีตพิถีพิถันตามเช่นนั้น

ที่มา - FB นัทกฤต ปทุมมารัชเชปัณณ์ 

12.11.18

๐ สุคติภูมิ – ตอนที่ ๓-ตอนจบ ๐


๐๐๐ สุคติภูมิ – ตอนที่ ๓-ตอนจบ ๐๐๐

พอคุยเสร็จจากจุดนี้แล้ว ท่านก็บอกให้ไปพระนิพพาน ก็ไปที่วิมาน พอเข้าไปข้างใน เขาก็มากันพร้อม แต่งตัวกันสวยสดงดงามดี สักครู่หนึ่งสมเด็จท่านก็เสด็จท่านก็เสด็จมา ท่านตรัสว่า ถามพวกที่อยู่นิพพานสิ อารมณ์จริงๆ เขาเป็นอย่างไร ไอ้เราขึ้นไปบนนั้นมันก็สบายมีแต่เบาๆ ก็เลยถามแม่ศรี พอถามเขาก็เปล่งแสงปร๊าบ แสงสว่างเต็มที่ ก็เลยถามว่า เอาแสงนี่มาใช้แล้วหรือ มันถึงเวลาที่จะต้องใช้แล้ว เลยถามว่า อารมณ์ของพระนิพพานมันเป็นอย่างไร

มันก็ไม่มีอารมณ์อะไร อารมณ์อย่างเทวดาก็ไม่มี อารมณ์อย่างพรหมก็ไม่มี จะมานั่งห่วงคนนั้นจะแก่ มันก็ไม่มี ห่วงว่าคนนั้นจะป่วย มันก็ไม่มี ห่วงคนโน้นมันจะเหนื่อยมันก็ไม่มี มันไม่มีอะไรจะห่วงทั้งหมด อารมณ์มันเฉยๆ ถึงเขาจะเป็นลูก เป็นน้อง เป็นพี่ เป็นสามี เป็นภรรยา อารมณ์เดิมมันก็ไม่มี ไอ้ความเนื่องถึงกันในอดีตมันก็เป็นเรื่องธรรมดา แต่อยู่บนนี้แล้วอารมณ์มันปล่อยหมด แต่คำว่าพันธะมันยังมีอยู่นิดหนึ่ง ก็ห่วงพวกที่ยังไม่ได้เป็นพระอรหันต์ ห่วงแล้วจิตมันเป็นอย่างไร มันทุกข์ไหม ไม่ทุกข์หรอก มีกังวลอยู่หน่อยเดียวว่าทำอย่างไรเขาถึงจะเป็นพระอรหันต์ จะหาวิธีใดให้เขามานิพพานได้ สมมุติว่าเขามีกำลังมานิพพานไม่ได้ล่ะ จะมีกังวลไหม ไม่มีกังวล เพราะรู้กำลังเขาไม่พอ เราก็จะมีทางเดียวคือชี้แนว แนะแนวโดยความเข้าใจเวลาที่จิตเขาเป็นทิพย์ก็จะสร้างความเข้าใจให้เกิด ว่าการที่จะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงน่ะ ควรจะทำอย่างไร ให้เขาเกิดอารมณ์ความรู้สึกเอง

นี่แทนที่พระพุทธเจ้าจะอธิบาย กลายเป็นแม่ศรีสอนฉัน เขาก็นั่งอธิบายให้ฟัง แล้วเขาก็ถามว่า อย่างหลวงพี่นะ เวลาที่ขึ้นมาบนนี้มีกังวลไหม ฉันจะไปกังวลอะไรอีก ขนาดฉันอยู่เมืองมนุษย์ฉันยังไม่กังวลเลย หลวงพ่อห่วงใครบ้างล่ะ ตัวฉันยังไม่ห่วง แล้วฉันจะไปห่วงใครเขา สมเด็จท่านก็เลยตรัสว่า ถูก..ตัวคุณๆไม่ห่วง แล้วก็คำว่าห่วงใครจริงๆ มันก็ไม่มี แต่ทว่าพระหรือฆราวาสก็ตาม ถ้าทำจิตให้ถึงอารมณ์ที่สุดได้แล้ว ก็อย่าลืมว่าถ้าขันธ์ ๕ มันมีอยู่ ภาระมันก็ยังมี นี่เราไม่ห่วงก็จริง แต่ว่าเราก็ต้องทำงานตามหน้าที่

ฉะนั้น ความหนักในขณะที่ทรงขันธ์ ๕ มันจึงยังมีอยู่ แต่ว่าขณะใดที่จิตมันยังทรงขันธ์ ๕ อยู่ ก็ควรจะทำอารมณ์ให้เบาเหมือนกับขึ้นมาอยู่บนนิพพาน ทำอย่างไรรู้ไหม ก็ต้องใช้คาถา ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน ช่างจนกระทั่งน้ำหนักที่ชั่งมันเหมือนกับช่างอากาศ

แล้วสมเด็จท่านก็ตรัสว่า ขณะที่ทรงร่างกายอยู่ ควรจะทำจิตเหมือนกับตอนอยู่บนนิพพาน แต่ว่ากิจอันหนึ่งที่จะพึงทำนั้น ก็คือภาระของขันธ์ ๕ ถือว่าเราทำเพื่อให้มันทรงอยู่ มันยังไม่ดับ แต่ว่าอย่ามีอารมณ์กังวล มันอยากกินก็ให้มันกิน มันอยากขี้ก็ให้มันขี้ มันอยากนอนก็ให้มันนอน ทำสภาวะเหมือนกับว่า
เสือตัวร้ายที่เราลี้ยงมันไว้ แต่เรากำลังจะโดดหนีเสือ แต่เสือมันยังไม่ได้ เมื่อเราอยู่กับเสือเราก็มีความรังเกียจเสือ เราให้มันกิน เราให้มันกินเพราะความจำใจ เราเอาใจมันเพราะความจำใจ แต่เนื้อแท้จริงๆ เราไม่ต้องการมันเลย

ก็เป็นอันว่าให้ทุกๆ ท่านพยายามรักษากำลังใจ ขณะใดที่เรายังทรงขันธ์ ๕ อยู่ก็ให้ทำอารมณ์ใจเหมือนกับเราจะละขันธ์ ๕ ไปอยู่ที่นิพพาน อย่าให้มีอารมณ์ยุ่ง มันมีหน้าที่ก็ให้เป็นหน้าที่ แต่ว่าใจอย่าให้มันยุ่ง ทำทุกอย่างเพื่อเราละโลกนี้คือมนุษย์โลก เทวโลก และพรหมโลก ถือว่าโลกทั้งสามนี้ มีสภาพเหมือนพยัคฆ์ร้ายที่คอยทำอันตรายเรา เราไม่ต้องการมันอีก เราต้องการอย่างเดียวคือพระนิพพาน..สวัสดี

อ้างอิง – คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า ๒๗-๒๘ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

10.11.18

สุคติภูมิ – ตอนที่ ๒


๐๐๐ สุคติภูมิ – ตอนที่ ๒ ๐๐๐

Q พรหม Q ทีนี้ความรู้สึกของพรหม ก็พอดีพรหมที่ท่านเป็นฌานโลกีย์ท่านเข้ามา ก็เลยถามท่านว่า “พรหม” ซึ่งแปลว่าผู้ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งกว่าเทวดานั้น ก็อยากจะทราบว่า ความรู้สึกของพรหมที่เป็นฌานโลกีย์นี่ไม่เรียกว่ากามาวจร ก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะ “พรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดา ไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง ฉะนั้น อารมณ์เนื่องถึงกันในฐานะต่างๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจธรรมปิติเฉยๆ” คำว่าเฉยๆ ถ้าท่านจะคุยกันก็คุยกันด้วยธรรมปิติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่กังวลอย่างเทวดาเขาเลยเบากว่าเทวดา ขึ้นชื่อว่าการละขันธ์ ๕ มาที่นี่มีใครเขาเอาขันธ์ ๕ ขึ้นมาหรือเปล่า ก็ไม่มีใครตอบว่าเอาขันธ์ ๕ ขึ้นไป เพราะขันธ์ ๕ มันอยู่ข้างล่าง

คำว่า “ขันธ์ ๕” น่ะมันต้องอยู่ที่ร่างกาย

“ รูป “ คือรูป
“ เวทนา “ ของขันธ์ ๕ มันต้องมีทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้วก็อทุกขมสุขเวทนา คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์ มีอารมณ์เฉยๆ แต่ว่าเวทนาในที่นี้มันเต็มไปด้วยอารมณ์ทุกข์ ไม่สุขจริง
“ สัญญา “ คือความจำ
“ สังขาร “ คืออารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์เลว และก็อารมณ์ไม่ดี อารมณ์ไม่เลว อารมณืดีเขาเรียกว่า “ปุญญาภิสังขาร” อารมณ์ที่ไม่ดีเขาเรียกว่า “อปุญญาภิสังขาร” แล้วก็อารมณ์ที่เฉยๆ เขาเรียกว่า “อเนญชาภิสังขาร”
“วิญญาณ” ก็คือประสาท

ส่วนทั้งหมดนี้มันติดอยู่กับร่างกาย เวลาที่ร่างกายพังมันก็สลายตัวหมด ส่วนที่เคลื่อนออกไปมันมีแต่จิต จิตที่ออกไปมันจะไม่นำส่วนหนึ่งของร่างกายคือขันธ์ ๕ ไปด้วย ถ้าไปเป็นเทวดา พรหม หรือเข้าพระนิพพานก็จะมีแต่ความสุข

Q มนุษย์ Q สำหรับมนุษย์เรามีสุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนาก็หมายถึงอารมณ์ที่เป็นสุข จัดเป็น “สามิสสุข” สามิสสุขเมื่อร่างกายมีอยู่ “มันก็เป็นความสุขที่อิงไปด้วยอามิส จะต้องอิงด้วยวัตถุ อิงด้วยอารมณ์ ได้เงินได้ทองมาจิตใจมีความสุข ได้คนได้สัตว์มาจิตใจมีความสุข” หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นสุขอิงด้วยอารมณ์ เช่นได้รับคำชมเชยอย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้จัดว่าเป็นอามิสสุข แต่เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานไปแล้วก็ดี จัดว่าเป็นนิรามิสสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส จะเห็นได้จากจิตของผู้เข้าถึงธรรมะ ขณะจิตใดที่จิตพอใจในธรรม ขณะนั้นจิตจะมีความสุข อย่างสุขในกรรมฐานนี้จัดเป็นนิรามิสสุข แต่มันก็สุขชั่วคราว เดี๋ยวเราก็ย่องไปหาสุขที่อิงด้วยอามิส ความจริงที่เราเข้าใจว่าสุขที่มันอิงด้วยอามิสน่ะ มันเป็นสุขไม่จริง มันจะมีทุกข์ตามมาด้วยเสมอ เช่นได้เงินมามากก็กลัวจะถูกปล้น ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงินมากินข้าวไม่ลง ทุกข์ทั้งนั้น อย่างตายิ้มแกมีโรงเลื่อย แกมีโรงสี มีโรงน้ำแข็ง ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้าหุ้นกัน แกมีส่วนแบ่งได้ ๔ พันบาท ไม่กินข้าวไป ๓ วัน กินแต่น้ำชากาแฟ เลยถามแกว่า...โยม ไอ้ทรัพย์สินของโยมมันมีมากกว่านี้เยอะ ทำไมได้เงินแค่นี้ถึงดีใจมาก.... ไม่รู้มันเป็นยังไงครับ เงินผมมันมีมากกว่านี้เยอะ ไอ้นี่มันเงินที่ได้มาลอยๆ มันอิ่มไปเฉยๆๆ... นี่ไอ้เงินที่ได้มาเฉยๆ นะ จะทำให้แกตายโดยไม่รู้ตัว นั่นมันเป็นสามิสสุข คือสุขที่อิงด้วยอามิส พอเริ่มสุขก็จะเริ่มทุกข์ตามมาทันที...

ทีนี้มาถึงเทวดา “เทวดา” เขาก็มี “นิรามิสสุข” เขามีเฉพาะนิรามิสสุข เขาไม่มีสามิสสุขอย่างเรา สุขของเขาเป็นทิพย์ แต่สุขของเราเมื่อพบแล้วมีทุกข์ทันที ไม่เคยมีผัวอยากมีผัว พอได้มาแล้วก็ทุกข์เลย ไม่เคยมีเมียอยากมีเมีย มีแล้วมันก็ทุกข์ ไม่เคยมีลูกก็อยากได้ลูก คราวนี้ทุกข์บรรลัยเลย ฉิบหายไม่รู้เท่าไร มีลูกคนหนึ่งเดี๋ยวนี้แสนหนึ่งพอซะเมื่อไหร่ล่ะ กว่าจะเลี้ยงกันโต ดีไม่ดีเขามีผัวมีเมียแล้ว ยังมาไถพ่อไถแม่อีก นิรามิสสุขของเทวดายังอิงกามารมณ์ ไอ้กามารมณ์ตัวนี้อย่าไปนึกว่าเป็นความใคร่ระหว่างเพศนะ มันอิงอยู่นิดเดียวตรงที่มีความเนื่องถึงกัน และก็ยังมีความกังวลอยู่หน่อยหนึ่ง เกรงว่า ลูก หลาน สามี ภรรยา หากว่าอารมณ์พลาดไปก็อาจจะต้องไปอบายภูมิ แต่ว่าความหนักใจเขาไม่มีหรอก ความห่วงใยอย่างอื่นก็ไม่มี มันมีพันธะติดอยู่นิดเดียวก็ตรงที่มีความเนื่องกันก็เท่านั้นเอง

สุขของพรหม “พรหม” เป็นนิรามิสสุข” สุขแท้ เพราะว่าไม่อิงอามิส ไม่เกาะเนื่องใดๆ ทั้งหมด “แต่ว่าพรหมก็ยังมีกังวลอยู่บ้าง ถ้าเป็นพรหมฌานโลกีย์ก็จะต้องพยายามทำตัวให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าให้ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต่ำ ก็ต้องขยับฐานะไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงให้ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามี ก็ต้องทำตนให้เป็นพระอรหันต์” ก็ยังชื่อว่ามีความกังวลอยู่ใช่ไหม เพราะยังไม่เสร็จ...

อ้างอิง – คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า ๒๔-๒๗ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

8.11.18

สุคติภูมิ – ตอนที่ ๑


๐๐๐ สุคติภูมิ – ตอนที่ ๑ ๐๐๐

เวลานี้มีนักเล่นฌาน มีคนเล่นอภิญญาอยู่ กำลังจะฝึกอภิญญาใหญ่ องค์สมเด็จท่านบอกว่า ที่ทำแบบนี้น่ะมันยังไม่ถึงเวลานะ ในเมื่อมันยังไม่ถึงวาระที่จะไปดึงพระอาทิตย์ให้มันขึ้น มันก็ไม่ขึ้น ถ้ายังไม่ถึงวาระที่มันจะค่ำจะไปดึงพระอาทิตย์ให้มันตก มันก็ไม่ตก ทำไมจึงจะเล่นกันเวลานี้ ตอนนี้ก็ควรจะฝึกกันแค่ขั้นมโนมยิทธิก็พอแล้ว เพื่อสะสมกำลังให้มันพอท่านว่าอย่างนั้น

วันหนึ่งขึ้นไปที่พระจุฬามณีเห็นนั่งกันอยู่เต็ม ดูไปดูมาท่านก็บอกให้ดูภิภพต่างๆ “มนุษย์ก็ดี เทวโลกก็ดี พรหมโลกก็ดี มันไม่ใช่แดนสุขจริง มนุษย์ที่ว่าเป็นสุขมันก็เป็นสามิสสุข แต่เนื้อแท้จริงๆ ไม่มีอะไรจะสุขสักนิดหนึ่ง ของที่ได้มามันก็เป็นปัจจัยของความทุกข์ทั้งนั้น” ใช่ไหม อยู่คนเดียวไม่ชอบ อยากจะมีผัวมีเมีย มีมาแล้วก็ทะเลาะกัน ดีไม่ดีพอลูกโผล่มาแล้ว กำลังหลับสบายๆ ยังไม่ทันเต็มตื่น ลูกร้องก็ต้องตื่นมาซะแล้ว ไม่เป็นเรื่อง มันมีแต่ความทุกข์

ทีนี้ก็มองไปดูเทวดาและพรหม ซึ่งมี ๒ พวกด้วยกัน คือพวกฌานโลกีย์ กับพวกโลกุตระ พวกเทวดาและพรหมที่เขามีความดีพอ ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นเทวดาเขาจะเป็นพรหมก็ไม่มีใครเขาลง แม้แต่พวกที่เป็นพระโสดาบันเขาก็ไม่ลง เขาตีตั๋วต่อไปพระนิพพานหมด ฉะนั้น อารมณ์ของเทวดาหรือพรหมที่เป็นพระอริยเจ้า ตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป เขาจึงมีแต่อารมณ์เป็นสุข

ถึงแม้ท่านที่อยู่ในกามาวจร แปลว่าอารมณ์ที่เที่ยวไปในความใคร่ จรเขาแปลว่าเที่ยวไป กามาเขาแปลว่ามีความใคร่ เทวดาชั้นกามาวจรก็เป็นเทวดาที่มีอารมณ์จิตเที่ยวไปในความใคร่ มีความประพฤติไปในความใคร่ คำว่าใคร่ในตัวนี้ อย่านึกว่าเทวดาเขาใคร่เหมือนคนนะ คิดอย่างนั้นมันคิดไม่ถูก ถ้าเทวดามีความใคร่เท่าคน เขาก็ไม่เรียกเทวดา เขาเรียกว่าคน

๐เทวดา๐ เทวดาเขาแปลว่าประเสริฐ ทีนี้ความใคร่ของผู้ประเสริฐนั้น หมายถึงมีความเนื่องถึงกันโดยมีความรู้สึกว่า “คนนี้เป็นสามี คนนั้นเป็นภรรยา คนนี้เป็นลูก คนนั้นเป็นบริวาร ก็มีเท่านั้น ยังมีความห่วงใยกันอยู่บ้าง ในฐานะที่เคยมีความสัมพันธ์กันมา ก็ยังมีความกังวลอยู่นิดหนึ่ง ความกังวลไม่มาก ไม่เหมือนคน ที่ว่ากังวลก็กังวลเรื่องความประพฤติ ว่าเขาจะทำดีหรือชั่ว จะต้องพลัดลงไปในอบายภูมิหรือเปล่า ก็ยังมีความห่วงกันอยู่” อย่านึกว่าเทวดาเขามีความใคร่อย่างคนนะ อันนี้ไม่มี

ฉะนั้น เทวดาพวกที่มีผัวมีเมียก็เหมือนกับคนที่รักษาอุโบสถ คนที่เขารักษาอุโบสถเขาก็เว้นจากกามารมณ์เหมือนกัน คำว่ากามที่เขาแปลกัน คนแปลๆ ไม่ถูก ดันแปลเป็นอารมณ์ของคนไปหมด ถ้าแปลไปตามอารมณ์ของคนก็ไม่ใช่เทวดา ท่านอธิบายให้ฟังแล้วก็เลยถามโยมท่านว่า ...ความจริงเป็นอย่างนั้นใช่ไหม ท่านบอกว่า คุณมาถามฉันซึ่งเป็นพระอริยเจ้าแล้ว ต้องไปถามพวกที่เขายังไม่ได้เป็นพระอริยะสิ เขาจึงจะตอบถูก

ก็มีเทวดาสองสามองค์ท่านเข้ามา ความจริงท่านพวกนี้ท่านอยู่ไกลลิบ ท่านขออนุญาตเข้าแล้วก็อธิบายให้ฟัง ความใคร่ในการมวจรน่ะ ความจริงมันใครกันแค่เพียงว่า มีความเนื่องกัน ถึงกันเท่านั้นเอง คำว่าเนื่องกันก็หมายความว่า คนนี้เคยเป็นสามี คนนี้เคยเป็นภรรยา คนนี้เคยเป็นบุตรธิดา คนนี้เคยเป็นบริวาร คนนี้เคยเป็นเพื่อน แต่ความห่วงใยยิ่งไปกว่านี้ไม่มี คนนี้เขาจะอด คนนี้เขาจะป่วย คนนี้เขาจะขี้แตก ท้องจะผูก ความห่วงกังวลแบบนี้ไม่มี

อ้างอิง – คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า ๒๓-๒๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

6.11.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๑๐


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๑๐ Q

ลูกหลานฟังให้ดีนะ ฟังให้ดี วิธีนี้น่ะมันเป็นวิธีทำคนให้มีกำลังใจ แต่ก็เป็นความดีที่เขาทำได้ด้วย หลวงพ่อสุ่นมีวาทะสละสลวยเหลือเกิน หลวงพ่อปานบอกว่า หลวงพ่อสุ่นน่ะเสียงกังวาน ไพเราะ เสียงชัด ฟังชัดมาก แล้วลีลาการพูดของท่านจับใจ ท่านเลยตอบว่า ...ปานเอ้ย ..กสิณน้ำนี่มีประโยชน์มาก ถ้าเวลาคนไข้เขามีความร้อนจัด ที่เขาร้อน เขากลุ้มจัดน่ะ เราก็เอากสิณน้ำนี่แหละเพ่งเข้าไป ให้มันเข้าไปอยู่ในร่างกาย ชโลมกายเขาไว้ เขาจะมีความเยือกเย็น นี่เราเป็นหมอมันต้องมีวิชาอย่างนี้ช่วยคนไข้นะ... ไม่อย่างนั้นมันก็แย่สิ คนไข้มันถูกทรมานกันแย่ แล้วเวลาอากาศร้อนๆ ถ้าเราอยู่ที่ไหนเราร้อนมาก ที่เราไม่มีพัดลมกับเขา สมัยนั้นไม่มีเครื่องปรับอากาศ ถึงมีคงไม่ได้ใช้เพราะไฟฟ้าไม่มี เราไม่มีพัดลมกะเขา เราก็ใช้กสิณน้ำนี่ช่วยบันดาลอากาศเฉพาะที่เราให้มันเย็น

อย่าไปยุ่งกับเรื่องชาวบ้านเขานา เขาจะหาว่าเธออวดอุตริมนุสธรรม ชาวบ้านน่ะย่อมไม่ค่อยจะมองในแง่ของความดี แม้แต่พระก็เหมือนกัน พระที่เขาไม่เอาดีน่ะ ถ้าพวกเรามีดีเขาก็มักจะกดขี่พวกเรา เขาจะหาว่าพวกเรานี้ทำผิดพระวินัย อวดชาวบ้าน เอาสิ่งที่ไม่จริงมาอวดชาวบ้าน ข้อนี้ลูกปานจงจำไว้ แล้วนอกจากนี้กสิณน้ำนี่น่ะ ถ้าที่ไหนไม่มีน้ำเราต้องการให้มีน้ำก็ได้ ถ้าของอะไรมันแข็งเกินไปเราต้องการให้อ่อนก็อ่อนได้ อย่างเหล็กหรือหิน เหล็กมันเข็งท่านก็หยิบเหล็กขึ้นมาว่า เหล็กนี่มันแข็งใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าใช่ นี่เราจะทำเหล็กนี่ให้อ่อนก็ได้ แล้วท่านก็ส่งเหล็กให้หลวงพ่อปาน เหล็กอ่อนเหมือนขี้ผึ้ง หลวงพ่อปานถามว่าทำยังไง ท่านก็บอกว่าไม่ยากหรอกลูก เวลาหยิบเหล็กขึ้นมาเราก็อธิษฐานว่าขอเหล็กนี้จงอ่อน จะอ่อนขนาดไหนก็ได้ แล้วก็เอาจิตจับภาพนิมิตของกสิณ แล้วก็คลายมานะแล้วก็อธิษฐานอีกทีว่า เหล็กจงอ่อน แล้วเหล็กมันก็อ่อน จะเป็นหินเป็นดินก็เหมือนกัน

แผ่นดินที่ไหนก็ตามที่มันไม่มีน้ำ เราต้องการให้มีน้ำก็ได้ หรือว่าอากาศมันแล้งต้องการให้ฝนมันตก จะตกตรงนี้ จะตกทั่วโลก จะตกเฉพาะที่ใด จะมากน้อยเท่าไรเราก็ทำได้ตามความประสงค์ นี่เป็นเรื่องของอาโปกสิณ กสิณน้ำนะลูกนะ เราเป็นหมอมีความจำเป็น แต่สิ่งเหล่านี้ถ้านอกเหนือจากความเป็นหมอก็ช่างเถอะ ถ้าอากาศมันร้อนจัดๆ คนไข้ไม่สบายอยู่แล้วมีอากาศร้อนกลุ้มมากหลายๆคน เราก็ทำอากาศภายในวัดของเราให้เยือกเย็น ให้เย็นพอ คนไข้สบาย เท่านี้เราก็ทำได้เป็นการสงเคราะห์บุคคลให้มีความสุข ถ้าเราให้ความสุขแก่เขาได้ ความสุขมันก็เกิดแก่เรา นี่มันย่อมสนองกัน ถ้าเราด่าเขาเขาก็ด่าเรา เราไหว้เขาเขาก็ไหว้เรา ผลมันตอบสนองอย่างนี้นะ ลูกปานนะ

ตอนนี้หลวงพ่อปานท่านบวชแล้วนะ ลืมบอกไป เวลาหลวงพ่อปานบวชน่ะ มีหลวงพ่อปั้นวัดพิกุล มาเป็นคู่สวด หลวงพ่อสุ่นวัดบางปลาหมอ เป็นอุปัชฌาย์ แล้วคู่สวดอีกคนไม่ทราบว่าเป็นใคร ไม่ได้ถามท่าน จะเป็นหลวงพ่อจ้อย วัดบ้านแพน หรือยังไงไม่ทราบ องค์นี้เก่งไม่น้อย สององค์ที่ว่านี่เก่งขนาดหนักเหมือนกัน เรียกว่าหลวงพ่อสุ่นท่านคัดเอาพระแบบฉบับของท่านมาคู่กับท่าน ถ้าไม่ค่อยจะเหมือนกันท่านไม่ค่อยเอา หลวงพ่อปานก็เหมือนกัน พระนอกรีตนอกรอยนี่ท่านไม่ค่อยเอาด้วยเหมือนกัน ท่านผ่านไปผ่านมาเสีย ตอนนี้ท่านถามหลวงพ่อปาน บอก ปาน...อยากจะดูฝนตกไหมลูก... หลวงพ่อปานบอกว่าอยากดู อยากดูน้ำเกิดในแผ่นดินไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่าอยากดู ออกไปลานวัดด้วยกันก็พากันไปที่ป่าช้า พอพากันไปถึงป่านช้าแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็บอกตรงนี้มันแห้งนะ เดี๋ยวพ่อจะทำให้มีน้ำ พอท่านชี้ลงเท่านั้นตรงนั้นปรากฏว่ามีน้ำท่วมขึ้นมาทันที แล้วหลวงพ่อสุ่นท่านบอก ..ประเดี๋ยวพ่อจะให้ฝนตกตรงนี้ วัดพื้นที่กว้าง ๒ ว่า ยาว ๒ ว่า ฝนจะตกเฉพาะตรงนั้น พอท่านบอกแล้วแล้วก็แหงนขึ้นไปบนอากาศ แล้วก็ก้มหน้า ท่านี้ฝนตกเลย...


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๔๔-๔๖ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

Cr...Ploy Ploma

4.11.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๙


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๙ Q

เมื่อหลวงพ่อปานเพ่งน้ำเป็นแก้วประกายพรึกก็จัดเป็นฌาน ๔ บังคับให้เล็กได้ให้ใหญ่ได้ ให้สูงได้ต่ำได้ หลวงพ่อสุ่นท่านนั่งอยู่ในกุฏิของท่าน เวลามาทำท่านไม่ได้มานั่งคุยกันอยู่ตลอดวันหรอกนะ ท่านสอนแล้วท่านก็บอกให้ไปทำเอาเอง ลูกหลานที่รักจำให้ดีนะ แบบฉบับตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เวลาท่านสอนแล้วไม่ใช่ท่านไปนั่งคุมกันทุกวี่ทุกวัน คอยจี้คอยไช ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกศิษย์ลูกหาเขาได้รับคำสอนแล้วเขารับไปทำตามคำสอน เว้นไว้แต่สงสัยตรงไหน ถ้าสงสัยตรงไหนเท่านั้นแหละเขาจึงจะมาถามใหม่เพื่อความแน่ใจ แล้วเกิดอาการขัดข้องอะไรมันเกิดขึ้นมาล่ะก็มาถามใหม่ เพื่อความมั่นใจและเพื่อความโปร่งใส จะได้ไม่ขัดข้องในอารมณ์

เมื่อหลวงพ่อปานท่านซ้อมจนดีแล้ว หลวงพ่อสุ่นอยู่ที่กุฏิรู้ ท่านรู้ว่าไปแอบไปทำที่ไหน ในเมื่อหลวงพ่อสุ่นท่านทราบ ท่านก็เรียกว่า ปานเอ๊ย...มาหาพ่อหน่อยซิ หลวงพ่อปานก็ห่มจีวรเรียบร้อย พาดสังฆาฏิ ไปถึงแล้วก็กราบ นี่พระเก่าเขาทำกันอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้พระแบบใหม่ติดฝรั่งหมด เวลาครูบาอาจารย์เรียกทำเป็นยืนทื่อเหมือนไม้ท่อน ความเคารพนบนอบก็ไม่ค่อยมี เต็มที ลุงพุฒิว่ายังไง จดลงนรกไป วันนี้เอาบัญชีมานี่ เลยคุยใหญ่ บอกแบบนี้เอาลงนรกไปเลย ถามว่าแล้วก็เขายังไม่ได้ว่าครูบาอาจารย์เขานี่ ยังไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นทำไมลงนรก ว่าไงนะเสียจริยาพระ จริยาของพระเสีย ทำตนไม่เป็นพระตามสมควร เอาลงนรกเลยหรือ เอาแกบอกว่าเอา อย่างนี้เอา เอาหนักด้วย เพราะอะไร เพราะบวชแล้วทำตนเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน เอาเข้านั่นสิ

ฟังเอาไว้ลูกหลานนะ นี่ลุงพุฒิแกนั่งอยู่ใกล้ฉัน วันนี้คุยกันถนัด นั่งกันอยู่ใกล้ติดกันเลย ยิ้มตลอดวัน ใจดี น่ากลัวตอนบ่ายจะไปล่อใครเขาก็ไม่รู้ เยอะหรือ เท่าไรล่ะ เจ็ดถึงแปดร้อย โอ้โฮ! นี่แกตัดสินความวันหนึ่งน่ะเจ็ดถึงแปดร้อยคนเชียวหรือ เขาว่าบางทีมากกว่านั้นก็มี เห็นไหมลูกหลาน นี่ผีคนตายน่ะไปคอยตาพุฒิอยู่ตั้งเจ็ดแปดร้อยคน ตอนบ่ายวันนี้ตาพุฒิจะไปตัดสิน จำไว้ เขาตายให้ตาพุฒิตัดสิน ลูกหลานตายอย่าให้ตาพุฒิตัดสินนา อย่าผ่านสำนักแกนะ ว่าไง ไม่ต้องผ่านหรือ เออ..ถ้ามันคิดอย่างนั้นไม่ต้องผ่านงั้นเหรอ เขารับรองเขาบอกว่าคิดอย่างสมเด็จท่านสั่งไว้เมื่อกี้ไม่ต้องผ่าน แล้วเขาก็ยิ้มชอบใจ เขาบอกว่าลูกหลานของท่านมันก็ลูกหลานของผมเหมือนกัน ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน เขาว่าอย่างนั้น แกห่วงเหมือนกันนะ ที่แกขึ้นมานี่ ที่แกพูดอย่างนี้อย่างนั้นเพราะแกห่วงว่าลูกหลานทั้งหลายจะเผลอ จะย่องลงไปในนรก อย่าไปนะ ทำตามพระพุทธเจ้าท่านว่า

ในเมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบหลวงพ่อสุ่นแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็ถามว่า ปานเอ๊ย...กสิณน้ำหรือว่าคาถาดูน้ำของลูกน่ะได้ดีแล้วใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า เห็นเป็นสีแก้วขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า นั่นมันถึงที่สุดแล้วนะลูกนะ แล้วก็หัดทรงเวลาหรือเปล่าล่ะ หัดตั้งเวลาทรงหรือเปล่า หลวงพ่อปานว่าหัดตั้ง หัดตั้งเวลา คือเอาเทียนขี้ผึ้งมาก เอาเงินเหรียญไปติดหรือสตางค์ไปติดไว้ที่ตรงไหนก็ตามที่เทียน แล้วก็จุดเทียน ทำกสิณทรงภาพทรงสมาธิ จับนิมิตนั้นให้ทรงอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเทียนนั้นไหม้มาถึงสตางค์ที่ติดไว้ สตางค์มันก็หล่นลงขันก๊ง หรือหล่นลงบนพื้นเก๊กหนึ่งก็แสดงว่าหมดเวลา นี่หลวงพ่อปานท่านทำจนใช้เวลาตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง ท่านเก่งมากนา ไม่ใช่เก่งน้อย สามารถจะทรงนิมิตรไว้ได้ถึง ๔-๕ ชั่วโมงได้อย่างสบายๆ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า ลูกปาน พ่อรู้แล้วเอ็งน่ะทรงสมาธิไว้ได้ ถ้ายังไม่ดีพ่อไม่เรียกมา เพราะเอ็งมันเป็นคนดีนี่ พ่อสอนอะไรทำได้ทุกอย่าง...


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๔๒-๔๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

2.11.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๘


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๘ Q

ที่ท่านนิมนต์ให้ไปนี่ถ้าคิดว่าว่างก็คงไม่ไป เรื่องนิมนต์เวลานี้รับยาก ใครนิมนต์ยาก ไม่ค่อยจะรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนิมนต์ให้ไปเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า ถ้าบวชองค์ใหญ่เห็นจะเอา คือบวชพระประธาน บวชองค์ ๕ นิ้ว กับ ๙ นิ้ว นี่ไม่เห็นด้วย เพราะสร้างพระแบบนี้แล้วก็ขายกันสำหรับให้ไปบูชาน่ะ ไอ้บูชากับขายมันก็เหมือนกัน เช่า บูชา ขาย เหมือนกัน ขายกันก็ตั้งราคาสิ ใช่ไหมล่ะ ไอ้ศัพท์นี่มันเหมือนกัน จะว่ามันยิ่งหย่อนกว่ากันนั้นไม่ได้ อย่างคำว่าเสวยของพระราชา แล้วก็รับประทาน ทาน กิน เจี๊ยะ ยัดห่า สวาปาม ก็เป็นอันว่ากินเข้าไปอิ่มท้องเหมือนกัน มันมีค่าเสมอกัน เป็นแต่เปลี่ยนศัพท์ให้แตกต่างไปเท่านั้น การสร้างพระขายแบบนี้ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่เคยขาย

พระพุทธรูปเล็ก ฉันเคยสร้าง สร้างทีไรขาดทุนทุกที ฉันอยู่วัดบางนมโค สร้างพระพุทธชินราชขนาด ๑๐ นิ้ว ทองน่ะฉันหาของฉันเองนะ ช่างเขาเอาค่าแรงงาน ๒๕๐ บาท ฉันประกาศเท่านั้น มีชาวบ้านมารับเท่านั้น ฉันขาดทุนค่าทอง ค่าพาหนะ ไม่ขาย หากว่ามาถามว่าทำไมไม่เอากำไร หันหน้าไปหาลุงพุฒิแกสิ แกบอกเอาสิเอาสิ อีขุมนี้จะได้จดลงไปชื่อหนึ่ง ฮึ! กำลังหันหน้ามายิ้มแหยบอกว่า ว่าเอากำไรสิ ทีนี้พูดถึงว่าเอากำไร แต่ทว่าเขาเอาไปสร้างถาวรวัตถุ หมายความไปสร้างความดีเป็นศรีของพระศาสนามันก็ดีไป แต่ทว่ากำไรเอาไปสร้างในทางที่ผิดก็แย่เหมือนกัน

อันนี้ไม่ได้ประณามท่านนะ แต่ว่าไม่เห็นด้วย แล้วอีกประการหนึ่ง ในฎีกาท่านบอกว่าขอให้ไปร่วมงานและสวดลักขี อ้ายเรื่องสวดๆ นี่ฉันเห็นว่าเป็นพระเพณีมากเกินไป สวดกันแต่อิติปิโสฯ ก็เหลือแหล่แล้ว ฉันไม่เอาด้วย ต่อไปฉันไม่เอาด้วย ฉันเหนื่อย เหนื่อยแล้วไม่ได้ประโยชน์แล้วจะเอามาทำไม ทำให้มันเหนื่อยทำไม ไม่เอา ยังไม่ได้ตอบจดหมายเขาไปเลย เมื่อวันก่อนมีคนเขามาตั้งให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และพร้อมกันวันเดียวก็ตั้งให้เป็นพระยายม เมื่อวานนี้มีคนมาตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า แล้วก็ส่งมาทางจดหมาย นี่ฉันมันก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ วาสนาบารมีมันไม่ใช่เล่นเชียวนะ มันสูงมาก ขนาดเป็นอุปัชฌาย์พระพุทธเจ้านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดูพ่อทำกันเถอะ

ต่อไปนี้มาว่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปานกันดีกว่า เรื่องอารัมภบทนี่ว่าจะไม่ให้มีมันก็อดไม่ได้ ตอนต้นเป็นพระพุทธบัญชานะ พระพุทธบัญชานี่ชัดไม่ได้ เพราะเป็นประโยชน์ หากไม่เป็นประโยชน์ท่านก็คงไม่บอกมา ตัวฉันเองมันเป็นคนบกพร่อง เป็นคนไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันเคยบอกแต่ต้นแล้วว่า ฉันเป็นคนไม่เต็มบาทเต็มสลึง ถ้าคนเต็มบาทเต็มสลึงก็ไม่บกพร่องความดีของลูกหลานพูดไม่หมด โดนพระดุเข้ามาต้องมานั่งพูดใหม่ ก็เป็นความดี ไม่โกรธท่านและไม่คิดอะไรกับท่าน รู้สึกว่าท่านมีพระคุณสูง เป็นพระคุณล้นเหลือที่ทรงตักเตือน เอ้า! ว่ากันถึงหลวงพ่อปานต่อไป

เมื่อวานเรื่องของหลวงพ่อปานมาจบเอาตอนกสิณน้ำ “อาโปกสิณ” ลูกหลานฟังให้ดีนะ ทีนี้เรื่องของกสิณจะเล่าอย่างลัดๆ เพราะอะไร เพราะว่าสมาธิจิตนี่ถ้าเราทำให้ได้ถึงฌาน ๔ เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นอีก ๓๙ กองไม่มีอะไรยากเลย มันเหมือนกัน เปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ อย่างมากก็ ๒-๓ วันเข้าอันดับ ไม่มีอะไรมาก ถ้าชอบใจกองไหนทำกองนั้นให้มันทรงตัว แล้วก็ฝึกการทรงฌานไว้ให้ดี จะเป็นกสิณหรืออะไรก็ตาม มาพูดถึงเรื่องกสิณก็เหมือนกัน นักปฏิบัติใหม่ๆ บางราย หลายรายล่ะ พอพูดถึงกสิณก็ทำตาโต เล่นกสิณเชียวหรือ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไป ดูท่าทางเป็นของอัศจรรย์ ความจริงมันไม่มีอะไรมากมายหรอกหนาลูกหลานนะ เหมือนกับกรรมฐานทุกกอง มีคุณค่าเหมือนกัน คือทำจิตให้เป็นสมาธิเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายแบบก็เพราะอัธยาศัยของคน วาสนาบารมีของคนไม่เสมอกัน ก็บอกวิธีการไว้เท่านั้น ไม่ใช่อะไรจะวิเศษวิโสเกินกว่ากันหรอก เป็นการทรงสมาธิ แต่หากว่ารักจะทำอภิญญาเท่านั้นแหละ จะต้องใช้กสิณเป็นพื้น แต่ว่าสมาธิก็ไปทรงอยู่ระดับฌาน ๔ เหมือนกัน ไม่มีอะไรมากเลย เวลาใครเขาพูดกันถึงเรื่องกสิณเป็นเรื่องอัศจรรย์ บอกเขาด้วยว่าเคยทำหรือเปล่า คนไม่เคยเห็นผีมันก็กลัวผีเกินพอดี แต่เห็นผีเสียแล้วไม่มีความรู้สึกอะไร นี่เป็นเรื่องของธรรมดานะ เอา!มาว่ากันต่อไป


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๔๐-๔๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

31.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๗


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๗ Q

ที่ฉันทำแบบนี้เพราะฉันใช้เสียงตะโกนเรียกลูกน้องฉันไม่ไหว บางวันมันเหนื่อยเหลือเกิน เรียกเขาขนาดเต็มๆ เสียงนี่นะ เขาไม่ได้ยินเสียงกันหรอก หันหลังให้แล้วไม่มีใครได้ยินก็เลยต้องซื้อเครื่องช่วยเสียง เมื่อซื้อมาแล้วฉันก็คิดในใจว่านี่ฉันซื้อมอบเป็นสมบัติของพระศาสนาบุญของลูกหลานจะได้เป็นบุญใหญ่ยังไงล่ะ ฉันตายแล้วจะแบกไหน ฉันแบกไปไม่ได้หรอก มอบให้เป็นของพระศาสนาไป แต่อุปกรณ์ต่างๆ นอกจากวิหารแล้วที่อยู่ ถ้าฉันตายแล้วนะพิจารณากันดู ถ้าพระรุ่นหลังเขาจะปกครองได้ก็ให้เขาปกครองไป ถ้าเห็นว่าเขาปกครองไม่ได้ให้ประมูลขายให้หมด ทุกอย่างที่เป็นอุปกรณ์ที่ฉันสร้างขึ้นมา เว้นไว้แต่ตัวอาคาร ให้ประชุมกัน จัดการประชุมให้หมด เอาเงินอันนั้นแหละมาจัดการเพื่อประโยชน์แก่สงฆ์ จะจัดการเพื่อประโยชน์แก่ศพฉันก็ได้ หรือว่าจะสร้างอะไรอย่างใดอย่างหนึ่งที่มันเป็นถาวรวัตถุไว้ในพระศาสนาก็ได้ ทำอย่างนี้นะ อย่าปล่อยตามใจพระสมัยนี้

ถ้าหากว่าเขาถามว่าเอาอะไรมาเป็นเหตุเป็นผลเป็นเครื่องยืนยัน ก็เอาเสียงของฉันบ้าง หรือว่าใครเขาลอกเสียงแล้วไปพิมพ์ก็ตาม มายืนยันกับเขา ว่าฉันพูดไว้เมื่อ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕ ว่าอุปกรณ์ต่างๆ ที่มีอยู่นี้ เมื่อเวลาฉันตายแล้วให้ประมูลขายให้หมด ฉันแน่ใจเหลือเกินว่าพระที่จะมาอยู่ใหม่นี้ใช้ไม่ได้ ค่ากระแสไฟฟ้าก็ไม่ไหวแล้ว นี่ดีว่าลูกหลานสงเคราะห์ฉันนะ นนทา อนันตวงษ์ เขาให้ค่ากระแสไฟฟ้าประจำเดือน เงินของลูกหลาน แล้วก็ส่วนอื่นอีก อุปกรณ์ต่างๆ ซื้อเพิ่มเข้ามาทุกปีก็เอาเงินจำนวนค่ายาค่าอาหารนี่แหละมาใช้ นึกว่าพยายามทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่มันจะเหลือกินเหลือใช้สักนิดหนึ่งนะ นี่มันไม่ทันจะเหลือสิ ยังไม่ทันมีเลย ฉันแอบไปซื้ออีกแล้ว เครื่องหูสำคัญมาก ตาดีแล้วหูก็ต้องดีด้วย

แล้วอีกประการหนึ่งมันก็ช่วยฉันเบาแรง ฉันคิดว่าถ้าฉันขืนเรียกบริษัทฉันแบบนี้ซึ่งเป็นบริวาร ภายในไม่ช้าฉันก็ขาดใจตาย ไม่ไหว้จริงๆ เขาพูดกันฉันได้ยิน แต่ฉันตะโกนเรียกเขา เขาไม่ได้ยิน แปลก เลยต้องใช้เครื่องมาช่วยแทน ลูกหลานฟังแล้วโมทนานะ ทุกจังหวัดแหละ เงินของใครบ้างฉันไม่รู้ ฉันเอามาแล้วฉันก็เอารวมๆ กันไปซื้อ แล้วก็ยังเป็นหนี้เขาอยู่ ช่างเถอะไม่ต้องเดือดร้อนให้กันมา ให้ตามกำลังศรัทธา เมื่อมีศรัทธาก็ให้ ไม่มีศรัทธาก็ยับยั้ง มีแล้วยังไม่มีศรัทธาก็ไม่ต้องให้ ฉันก็รวบรวมของฉันเอง พอเมื่อไรฉันก็ให้เขาเมื่อนั้น เอาสบายๆกัน นี่เวลาก็จะหมดไป เรื่องของหลวงพ่อปานจะเข้าก็ยังไม่ได้เข้า มาเข้าสักหน่อยไหม มาเข้ากันสักนิด มาเอาเรื่องของเมื่อวานนี้

เมื่อวานนี้ได้รับหนังสือของวัดเขาชายธงวนาราม อำเภอตากฟ้า ท่านจดหมายมา ลงตั้งแต่วันที่ ๖ มาถึงฉันวันที่ ๑๙ อ่านของท่านแล้วท่านตั้งใจให้ฉันเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า คือไปนั่งปรก ท่านจะสร้างพระประธานแล้วก็สร้างพระแบบสุโขทัย ขนาด ๕ นิ้ว กับ ๙ นิ้ว ไว้ให้ชาวบ้านบูชา ในฎีกาว่าให้สวดลักขีด้วย ให้ไปร่วมในงาน ฉันไปไม่ได้ ยังไม่ได้ตอบหนังสือเลย วันนี้จะตอบหนังสือ กว่าหนังสือจะถึงก็น่ากลัวงานจะเสร็จไปแล้ว ไปรษณีย์ของเรานี่น่ากลัวจะช้ามากเกินไป แต่วัดเขาชายธงมาถึงวัดท่าซุงนี่ระยะทางก็ราวๆ ๓๐ กม.เศษๆ เอ้า! ๔๐-๕๐ กม.เป็นอย่างมาก นี่เดินทางตั้งแต่วันที่๖ ถึงวันที่ ๑๙ นี่หมดเวลาไป ๑๓ วัน เดินไกลมาก เดินด้วยเท้ายังถึงเร็วกว่า

อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๙-๔๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

29.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๖


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๖ Q

ทีนี้คนไหนต้องการจะไปนิพพาน ก็เป็นของไม่ยาก สัมพเกษี ...ให้เขาคิดเห็นว่าโลกนี้ทั้งโลก ไม่มีอะไรที่เราชอบ ไม่มีอะไรที่เรารัก เราไม่รักอะไร เราไม่ชอบอะไรในโลกนี้ แม้แต่ร่างกายของเราเองเราก็ไม่ชอบไม่รัก เพราะมันเต็มไปด้วยความทุกข์ เต็มไปด้วยความทรมาน แล้วให้ใคร่ครวญหาความจริงในโลก จะเป็นสิ่งมีชีวิตหรือสิ่งไม่มีชีวิตก็ตาม มันมีสภาพคงตัวได้ตลอดกาลหรือเปล่า ถ้ามันมีการเปลี่ยนแปลง มีการสลายตัว ก็ถือว่านี่โลกทั้งโลกหาความดีไม่ได้ แล้วก็หันเข้ามาคิดถึงกายของตัวว่า กายของเราเองนี่มันยังจะตายยังจะพัง เรายังจะปรารถนาอะไรภายนอกอีก เราไม่ต้องการ เราจะไปนิพพาน.. เขาคิดเท่านั้นเพียงคืนละ ๑๐ นาทีนะ สัมพเกษีนะ ลูกหลานของเธอทุกคนพ้นนรกหมด พ้นอบายภูมิ อย่างน้อยก็ไปกามาวจรสวรรค์ อย่างกลางก็ไปพรหมโลก อย่างดีก็ไปพระนิพพาน

นี่ท่านว่าไว้อย่างนี้นะ ลูกหลานที่รักทุกคนได้ยินหรือยัง ถ้าได้ยินล่ะก็จำไว้นะ ท่านสั่งสอนแบบนี้เป็นการสั่งสอนแบบง่ายๆ นี่เป็นความดีของพระ ของเทวดา ของพรหมท่านนะลูกหลานจงจำไว้ ถ้าใครเขาว่าฉันดี ใครเขาว่าฉันเป็นผู้วิเศษล่ะก็ อย่าไปคล้อยตามเขานะ อย่าไปคล้อยตามเขา ตัวฉันไม่มีอะไรจริงๆนะ ฉันต้องพึ่งพระ พึ่งเทวดา พึ่งพรหม ทุกอย่าง ตอนนี้ลุงพุฒิแยกเขี้ยวอีก ว่าไงล่ะ แยกเขี้ยวว่าไงพ่อคุณ บอกจริง พูดจริง แล้วไม่จดลงนรกหรือไง ถ้าพูดแบบว่าตัวเองดีจริงๆ ดีเสียคนเดียว เขาจะจดจำไว้ในอเวจีและให้นานเป็นพิเศษเพราะมีบุญบารมีมาก บุญมากที่ไปแข่งบารมีกับพระพุทธเจ้าว่าตัวรู้จริง ลุงพุฒวันนี้ขำๆนะ นั่งยิ้มตลอดวันเลย อารมณ์ดี ว่างหรือไงพ่อคุณ อ้อ..ตอนบ่ายมีงานเรอะ เขาบอกว่าตอนเช้าเขาว่าง ตอนบ่ายมีงาน เขาเลยมานั่งคุม ดีเหมือนกัน

เออ..ลุงเอ๋ย ไอ้ร่างกายนี่มันไม่ค่อยดีนะลุงนะ ให้ข้าตายสบายๆหน่อยนะ เวลาจะตายอย่าให้มันอึดมันจุกมันเสียดมากนักนะ ลูกหลานเขาจะหนักใจ ยังไงๆข้าก็ตายแล้ว มันก็จะต้องตายกันแล้ว ให้มันตายเรียบๆสักหน่อยนะ ลูกหลานเขาจะได้ไม่ดิ้นไม่รน ถ้าเขาเห็นเป็นอะไรมากแล้วใจเขาจะไม่สบาย ว่าไง แกตอบมาว่าไงรู้ไหม บอกเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไมล่ะ ฮึ! ลองพ่อสิ บอกว่าเสือกทำกรรมชั่วไว้มากทำไม ร่างกายมันก็ถูกทรมาน เอาเป็นอันว่าเจ๊ากันนะ ช่วยได้ก็ช่วยนะ ช่วยไม่ได้ก็ตามใจ แต่พยายามช่วยก็แล้วกันนะ ไอ้เรามันพวกเดียวกัน เออ...ลูกหลาน นี่เวลามันเสียไปมากอีกแล้วซีนี่ ฉันจะเล่าเรื่องของหลวงพ่อปาน นี่มันมากแล้ว เวลามันเข้าไปเยอะแล้ว เอาต่ออีกนิดนะ เรื่องนี้จบกันนะ

ลูกหลานเข้าใจแล้วใช่ไหม จำไว้นะ ทำตามที่พระท่านสั่งนะ ทำแบบสบายๆอย่าลืมนะ เวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องไปนึกถึงอะไรนะ นึกถึงวิมานบนสวรรค์ นึกถึงวิมานบนพรหม นึกถึงพระนิพพาน อย่างใดอย่างหนึ่งก็ตามใจไม่ว่าอะไรหรอก แล้วทุกสิ่งทุกอ่างสิ่งที่เป็นสถานที่อยู่ก็ดี จะเป็นมีทรัพย์สินมากหรือทิพยสมบัติมากก็ดี สิ่งที่เป็นตาทิพย์ หูทิพย์ก็ดี ฉันเอาเงินของลูกหลานมาสร้างไว้ครบแล้วนะ ที่ฉันว่าฉันฟูใจ ฉันดีใจครบ เวลานี้ซื้อเครื่องฟังเสียง เครื่องส่งเสียงง่ายๆเข้ามาอีกเครื่องหนึ่ง ก็เป็นหนี้เขาเหมือนกัน บอกไว้ก่อนนะ ทีหลังถ้าใครเอาสตางค์มาให้ล่ะก็จะขโมยไปใช้หนี้เขาแบบนี้อีกนะ ตานี้มีครบล่ะตามสบายล่ะ แต่อุปกรณ์บางอย่างมันยังไม่ครบนัก ถ้าตึกหลังใหม่ที่จะสร้างหลังใหญ่ ถ้าสร้างขึ้นแล้ว ก็จะซื้ออุปกรณ์มาเสริมที่นั้น มันก็ต้องเพิ่มเงินไปอีก ไม่เป็นไร ไม่ต้องเดือดร้อนนะ เจ้าหนี้เขาไม่เร่ง


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๗-๓๙ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


27.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๕


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๕ Q

ท่านตรัสตอบว่า สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้วมันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ทั้งนี้ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคนหรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน คำว่าฉันในที่นี้ไม่ใช่ตัวฉันเองนะ พระใหญ่ท่านพูด พระใหญ่ท่านใช้คำแทนตัวท่านว่า ฉัน จำให้ดีนะ ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และวิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายๆที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน

สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด ..เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี... แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงค์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึง “สวรรค์” ชั้นกามาวจรทันที

พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ...นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านี้ก็พอ...เวลาตายแล้วเป็น “พรหม” แน่



อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๖-๓๗ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

24.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๓



Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๓ Q

ปีนี้รู้สึกว่ามันแก่มาก มันใกล้ตายมาก จึงได้เอาหีบศพมาตั้งคอยไว้ คิดว่าจะซ้อมกสิณน่ะ มันมีฤทธิ์ก็จะเก็บฤทธิ์เข้าไว้ เมื่อเวลาจิตจะตายบันดาลร่างกายให้เข้าไปนอนในหีบศพคิดไว้แค่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมาทรงยับยั้ง เมื่อท่านยับยั้งหลายวาระแล้วนี่เรียกว่าหลายคราวแล้ว จะให้ท่านว่าทุกคราวก็ไม่ถูก ต่อไปนี้เห็นจะงดกัน ไม่เอาล่ะ อารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนี้ไม่เอา เลิกกัน มันจะตายด้วยวิ๔ทางแบบไหนก็ปล่อยตามใจมัน มันอยากตายดีก็ให้มันตาย ตายชั่วก็ให้มันตาย ตายแบบไหนก็ตาม ฉันไปนิพพานได้ก็แล้วกัน ช่างมัน ร่างกายจะเป็นยังไงช่างมัน เอาแบบช่างเถอะตามเดิมกันนะ แบบวิชาลูกเสือที่เขามือโบกๆ ปัดจมูก ไอ้สัญญาอันนี้ฉันแปลว่าเหฒ้นขี้หมา เอามือโบกๆ ข้างหน้า แต่เขาแปลว่าช่างเถอะตามเดิม ทีนี้ฉันจะเอาแบบนั้น

นี่หันมาพูดเรื่องวิมานกันใหม่ แล้วท่านก็บอกว่าวิมานขั้น “ทวดา” น่ะ บริษัทของเธอมีวิมานแก้ว ๗ ประการเหมือนกันหมด แต่ว่าวิมานใดที่ประกอบไปด้วยกระแสไฟบูชาพระรัตนตรัยหรือให้ไฟเป็นประโยชน์สาธารณะ วิมานนั้นก็มีแสงสว่างมากกว่าวิมานอื่น ลุงเสริมนี่แกทำบุญเงียบ อึกอักแกก็คว้าสตางค์มาหมื่นห้าพันบาทให้ต่อไฟฟ้าเข้าวัด นี่เรียกว่าเป็นเจตนาเงียบๆ ทำหมกๆ ที่เรียกว่าไม่ประกาศ ไม่ประกาศกึกก้อง ไม่ชักชวนใคร ทำด้วยกำลังใจแท้ๆ หวังให้ประโยชน์ความสุขแก่พระพุทธศาสนา หมายความว่าคนที่เดินผ่านวัดผ่านวาก็มีใจชุ่มชื่น เห็นแสงไฟก็มีใจสบาย เวลาดึกดื่นๆ น่ะฉันเคยเดิน สมัยโน้นเมื่อเป็นหนุ่มๆ ตี ๒ ตี ๓ ฉันเดินอยู่กลางทุ่งเงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นเรไร จิ้งหรีดมันร้อง รู้สึกวังเวงใจ เดินอยู่คนเดียว แต่พอมองเห็นแสงไฟบ้านใครไกลประมาณ ๔-๕ กิโลริบหรี่ๆ อยู่ กำลังใจมันก็ชุ่มชื่น นี่ขั้นไฟเล็กๆน่ะ นี่ท่านเจ้ากรมเสริมมาทำไฟใหญ่ไว้ให้

แล้วคุณสรรเสริญก็พลอยต่อท้าย แล้วก็มีครูนนทา อนันตวงษ์ พระครูปลัดผ่องตามเป็นแถว วิมานประเภทนี้ มีคนพลอยโมทนาด้วยก็ดี ที่ทำก็ดี ย่อมมีความสดใส อันนี้เวลาลูกหลานทั้งหลายฟังแล้วจะหาว่าฉันลำเอียงนะ นี่ฉันพูดตามความเป็นจริง ใครอยากจะให้สดใสตามนั้นบ้างก็เอาไฟฟ้าเข้าวัดหรือสาธารณประโยชน์ หรือไม่มีที่จะเข้ามาช่วยกันเสียค่ากระแสไฟฟ้าก็ได้ เพราะถ้าไม่มีสตางค์เสียค่าไฟฟ้า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์มีหลอดอยู่แล้ว แสงไฟมันก็ไม่ปรากฏ นี่เราก็ยังมีส่วนที่พึงได้บุญอยู่นะ ที่วัดฉันก็ได้นะ ที่วัดไหนก็ได้ ฉันไม่ได้จำกัดนะ การทำบุญไม่ใช่ว่าจะได้บุญแต่เฉพาะทำที่ฉันคนเดียว

ลูกหลานทำบุญกับฉันน่ะมันทำกับขโมยนะ เห็นไหมล่ะ นี่เมื่อวานซืนนี้น่ะวันที่เท่าไหร่ ๑๗ ฉันขโมยเงินค่าอาหารไปพิมพ์หนังสือเสียบ้าง พิมพ์หนังสือร่ำรวยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ซื้อยาน่ะไม่เป็นไร ไปซื้อรถเข็นทรายเข็นกรวดเสียบ้าง เอาไปช่วยคนแก่คนไข้ไม่สบายเสียบ้าง นี่ฉันน่ะมันเป็นต้นขโมยเสียด้วย แล้วก็ขโมยมานาน แถมขโมยเงินของลูกของหลานเอาไปสร้างบ้านเรือน เออ..อย่าว่าคนแก่เลยนะลูกหลานนะ ก็ทำมาหากินเองไม่ได้นี่ เมื่อทำกินเองไม่ได้มันก็ต้องขโมยแบบนี้แหละ แต่ขโมยแบบนี้ไม่มีเวรมีภัยนะลูกหลานนะ ไม่เป็นไรเพราะห่วงลูกห่วงหลานเกรงว่าจะเป็นคนจน นี่ลูกหลานฉันคนไหนที่มีบุญบารมีถึงกามาวจรสวรรค์จัดว่าตกอยู่ในฐานะคหบดีแล้ว ฉันดีใจ ดีใจที่พระใหญ่ท่านบอกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านว่าแล้วก็พาไปชี้วิมานให้ดูว่า คุณเห็นไหม วิมานเขาสวยสดงดงามขนาดนี้ แล้วก็ชี้วิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วธรรมดา วิมานแก้ว ๓ ประการ วิมานแก้ว ๕ ประการ นั้นมีความสวยสดงดงามไม่เท่ากัน มีความสง่าผ่าเผยไม่เท่ากัน ฉันปลื้มใจ ปลื้มใจที่ลูกหลานของฉันเป็นคนรวย......


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๒-๓๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


22.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๒


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๒ Q

แต่พอไปได้ครึ่งทางก็นึกห่วงพวกกรุงเทพฯขึ้นมา แล้วก็พวกพิจิตร ว่าเวลานี้น่ะเขาทำอะไรกันบ้าง เลยแถมาข้างบ้านเจ้ากรมเสริม เห็นในบ้านกำลังวุ่นวายไปหมด คุณอ๋อยเห็นเดินเข้าเดินออก เดินออกเดินเข้า เออ..เลยคิดว่านี่เขากำลังมีงานกันหนัก ชาวบ้านเขามีความลำบากมาก อาศัยความเป็นอยู่เองก็หนัก แล้วเขาก็ต้องมาหนักบำรุงฉันด้วย แล้วฉันก็บอกบุญเขาหาเงินมาบำรุงพระพุทธศาสนาเป็นการเพิ่มความหนักอีกสองเท่า ในทุกบ้านเขาก็เหมือนกัน ไปดูบ้านคนอื่นก็เห็นว่ามีแต่ความวุ่นวาย แถทางสุพรรณฯ ไปราชบุรี ไปชัยนาท ไปพิจิตรก็เหมือนกัน ไปดูกุฏิพระสุรินทร์ เห็นมันว่างๆ อยู่ หน้ากุฏิเห็นใครมาคุยอยู่ ๒-๓ คน นึกว่า เอ..นี่เขายังคุยกัน นึกว่า เอ...นี่เขายังคุยกัน แต่เอาเถอะมันเป็นภาระที่เขาจะต้องทำแต่ละบุคคล ก็หมดกันไป

ฉันย้อนกลับไป ย้อนขึ้นไปพระจุฬามณี วันนี้เข้าไปเฝ้าพบพระพุทธกัสสป ท่านประจำอยู่ที่นั่น มีพระอรหันต์เต็มไปหมด ฉันยกมือไหว้ตั้งแต่หน้าพระจุฬามณีขึ้นไป พอเข้าไปกราบๆ ท่าน ท่านก็ท้วงว่า คุณ...เมื่อวานนี้คุณบันทึกเสียง บอกถึงความดีของบรรดาลูกศิษย์ลูกหาลูกหลานทั้งหลายที่เขาทำกันว่าแต่ละคนมีวิมาน นี่คุณยังพูดไม่ครบถ้วนนะ วันพรุ่งนี้ คือวันที่ ๒๐ มกราคม พ.ศ.๒๕๑๕ คุณต้องย้อนพูดใหม่นะ เวลาจะพูดอะไรล่ะพูดให้มันครบสิ ทำอะไรนี่ก็ทำให้มันพอดีๆ อย่าให้มันขาดตกบกพร่อง คุณไม่ต้องเกรงใคร ในเมื่อเราพูดตามความเป็นจริง ก็กราบทูลถามว่า ข้าพระพุทธเจ้าพูดบกพร่องตรงไหนพระพุทธเจ้าข้า... ท่านก็บอกว่า อีตอนที่คุณบอกว่าทุกคนเขามีวิมานน่ะ แต่คุณไม่ได้บอกนี่ว่าวิมานน่ะมันเป็นวิมานประเภทไหน คุณต้องบอกเขา วิมานบนสวรรค์มันมีอยู่หลายชนิด คือ (๑) วิมานเงิน (๒) วิมานทอง (๓) วิมานแก้ว แก้วอย่างเดียวนะ เป็นแก้วๆ แล้วก็ (๔) วิมานแก้ว ๓ ประการ (๕) วิมานแก้ว ๕ ประการ แล้วก็ (๖) วิมานแก้ว ๗ ประการ แล้วก็ (๗) วิมานแก้ว ๙ ประการ นี่บุญญาธิการของเทวดาแต่ละคนย่อมไม่เสมอกัน วิมานไม่เท่ากัน มีวิมานเหมือนกันแต่ทว่าความสดสวยของวิมานไม่เสมอกัน

แล้วคุณทำไมไม่บอกเขาล่ะว่า ทุกคนน่ะที่เป็นลูกหลานของคุณ ที่เป็นบริษัทของคุณน่ะเขามีวิมานขนาดไหน ประเภทไหน คุณต้องบอกเขาสิ บอกเขาว่าทุกคนที่เป็นบริษัทของคุณน่ะเขามีวิมานชั้นแก้ว ๗ ประการด้วยกันทุกคนแล้วเป็นอย่างต่ำ ถึงแม้ว่าใครเขาจะทำบุญมากก็ตาม ใครเขาจะทำบุญน้อยก็ตาม แต่ว่าที่ทำไปด้วยศรัทธาแท้ ไม่ใช่จำใจทำนะ คำว่า “บริษัทของคุณ” น่ะหมายความว่า “ที่เขามีความเลื่อมในในคุณจริงๆ มีความเลื่อมใสในการที่คุณนะเอาพระธรรมคำสั่งสอนมาบอกเขา แล้วก็แนะนำเขาให้ทำในสิ่งที่เป็นประโยชน์ แล้วเขามีความเลื่อมใสจริงๆ” อย่างนี้เราเรียกกันว่าบริษัท แต่หากว่าประเภที่จำใจทำเขายังไม่เรียกกันว่าบริษัท ถือว่าเป็นบุคคลภายนอก แต่ว่าเขาให้มาเขาก็พอได้ ชนิดวิมานเงิน วิมานทองก็พอมีอยู่ แต่ถ้าบริษัทแท้ๆ ที่มีความมั่นใจในคุณจริงๆ เขามีวิมานแก้ว ๗ ประการหมดแล้ว เป็นวิมานอันดับ ๒ สำหรับวิมานอันดับ ๑ นั้นมันเป็นวิมานแก้ว ๙ ประการ

ทีนี้ก็มาว่ากันถึงความผ่องใสของวิมาน ความผ่องใสของวิมานย่อมแตกต่างกันด้วยอำนายของบุญบารมีคือกำลังใจ แต่ก็ควรจะบอกเขาว่าวิมานแต่ละวิมานก็มีความสวยสดความน่ารื่นรมย์ทั้งนั้น เขตวิมานแต่ละวิมานบริเวณน่ะกว้างขวางไพศาล มีที่อยู่เป็นสุขสบาย มีความเลื่อมสวยสะอาด วิจิตรตระการตา นี่ก็เรียกว่าความงามของแต่ละวิมานน่ะพรรณนากันไม่ถูก นี่ความจริงมันเป็นอย่างนั้นนะ ความจริงเป็นอย่างนั้น ฉันไปเห็นมาแล้วก็เห็นตามนั้น แต่ฉันไม่ได้บอก นี่ลูกหลานฟังไว้นะ ที่ใครคิดว่าฉันดี ใครเขาเคยคิดว่าฉันเป็นผู้วิเศษ สมมุตติเอานะว่าเขาคิดอย่างนั้น ก็ต้องจำไว้ด้วยว่าฉันเองน่ะฉันไม่ดีอะไรนะ แล้วฉันไม่มีอะไรจะวิเศษอีกด้วย ไอ้ความดีที่จะปรากฏขึ้นได้นี่เป็นความดีของครูบาอาจารย์ มีพระพุทธเจ้าเป็นพระประมุข แล้วก็มีเทวดาหรือพรหมทั้งหลายเขาคอยกระตุ้นเตือนใจอยู่นี่ละ พูดมามันชักจะผิดๆ หลายคำแล้ว ตั้งแต่เริ่มทำงานในปีนี้แหละ ปีก่อนๆ ก็ไม่ค่อยจะมี

อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๐-๓๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

19.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๑


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๑ Q

ลูกหลานทั้งที่รักทั้งหลาย วันนี้ลูกหลายคงจะแปลกใจ เพราะว่ามีทั้งการบวงสรวง มีทั้งการชุมนุมเทวดา แล้วมีการตั้งนะโม แต่ความจริงเรื่องของการบวงสรวง การชุมนุมเทวดาการตั้งนะโมนี่ ของฉันมีเป็นปกติ แต่งบางขณะที่ต้องการจะทำอะไรฉันอาจจะตั้งของฉันในใจ เอาจิตน้อมถึงบรรดาเทพเจ้าทั้งหลาย และมีพระพรหมทั้งหลาย พระพุทธเจ้าและพระอริยสาวกเป็นสำคัญ อันนี้เป็นเรื่องธรรมดาของฉันนะ

แล้วลูกหลานทั้งหลายมีความแปลกใจ เพราะวันนี้มีการแถมตั้งนะโมให้ได้ยิน เรื่องที่เกิดขึ้นอย่างนี้ก็เพราะว่า เมื่อวานนี้เมื่อฉันบันทึกเสียงเสร็จ ฉันก็ไปนอนใคร่ครวญตัวเองว่า ก่อนที่ฉันจะพูดเรื่องของหลวงพ่อปานนี่นะ ฉันก็มักจะเอาอะไรต่ออะไรมาเล่าตอนหน้าเสียก่อนเป็นการเปลืองเวลา มาวันนี้วันที่ ๒๐ ตั้งใจจะไม่มีอารัมภบท หมายความว่าจะไม่มีเรื่องพาดหน้าเรื่อง แต่มันก็ต้องมีเพราะอะไร เพราะว่าเมื่อคืนวันที่ ๑๙ ฉันนั่งพระกรรมฐาน วันนี้สึกจะซ้อมอารมณ์เดิม คิดว่าจะไม่เหาะละ จะไม่ทำอะไร ก็คว้ากสิณกองใดกองหนึ่งเข้ามาใช้

วันนี้สมาธิใช้ไม่ได้เลย จมไม่ลง ไอ้ที่จมไม่ลงไม่ใช่ว่าอารมณ์ของฉันเสีย เป็นอำนาจพระพุทธานุภาพที่ไม่ทรงอนุมัติ เรื่องของพระพุทธานุภาพนี่น่ะไม่มีอะไรจะไปขัดขวางท่านได้ พอทำอยู่ตั้ง ๒-๓ นาที ก็ปรากฏเสียงบอกว่า ฉันสั่งให้คุณระงับคุณก็จงอย่าลอง ไม่ต้องซ้อม กรรมฐานกองอื่นถมเถไป ๓๐ กอง ทำไมจึงไม่ซ้อมทำไมจึงต้องมาซ้อมกสิณ ไม่จำเป็นสำหรับคุณ

คุณน่ะไม่มีโอกาสที่จะพ้นคนเข้าไปอยู่ในป่าแล้วไปตายคนเดียวได้หรอก มันจะต้องตายอยู่กับคน ถ้าหากว่าคุณไปใช้กสิณเข้า ความเบื่อหน่ายของคุณมีอยู่มากแล้ว ดีไม่ดีคุณก็จะหนีเจ้าหนี้เข้าป่า จะเกิดประโยชน์อะไร ทำไปชำระหนี้เขาไป แล้วเราสร้างความดีชำระหนี้ให้หมด สิ่งใดควรจะเป็นกำรี้กำไรคือเป็นดอกเบี้ย ก็หาให้เจ้าหนี้เขา จะได้เป็นการชดเชยกับที่เราเอาของเขามาใช้ เราใช้เขามาก่อน เอาของเขามาใช้ก่อน เวลานี้เขาจึงใช้เราบ้าง เราก็ปล่อยเขาสิ ถ้าสิ่งใดที่มันไม่ขัดต่อพระรมวินัยเราก็ทำไป ถ้าสิ่งใดที่มันขัดต่อพระธรรมวินัยเราจงอย่าทำ ในเมื่อเราไม่ทำใครจะเป็นเจ้าหัวใจของเรา

ฟังแล้วก็สะดุ้ง พอฟังแล้วก็เลยต้องขอขมาท่าน ก็กราบเรียนท่านแต่เพียงบอกว่า ที่จะทำน่ะไม่ใช่อะไร คือกสิณเป็นกำลังสมาธิใหญ่ สร้างความสุขใจมาก อยากจะทรงพละในฝ่ายกสิณไว้เพื่อเป็นการรักษากำลังใจ ท่านก็บอกว่าไม่ได้ เมื่อแกทำกสิณเข้า แกก็ทำจบฌาน ๔ แล้วดีไม่ดีแกก็จะเปิดอีก นี่เมื่อวานนี้ถ้าฉันไม่ท้วงไว้นะ ดีไม่ดีแกก็ไปเชียงตุงเชียงรายแล้วไปหาเจ้าเพื่อน ๒ คน

นี่ท่านดักคอรู้มา แต่ความจริงถ้าหากว่าทำได้ก็น่ากลัวเหมือนกัน เวลานี้มันไม่ได้ทำเพราะเกรงใจท่าน เอ้า ! เรื่องนี้พับไป เมื่อท่านระงับแล้วฉันก็เลยจับอารมณ์วิปัสสนาญาณ ชำระใจพอสบาย เมื่อใจพอสบายแล้วฉันก็ไป “พระจุฬามณีเจดีสถาน” ขณะที่เคลื่อนขึ้นไปปรากฏว่าเห็นหลวงพ่อปานแล้วก็พระหลายท่านสวนลงมา เมื่อท่านสวนลงมาท่านก็เลยบอกว่า เธอจะไปไหนก็ไป พวกที่นั่งพระกรรมฐานนี่ฉันคุมเอง ก็ดีใจยกมือนมัสการท่านแล้วก็ไป


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๒๙-๓๐ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง


26.5.15

สาเหตุที่เกิดมาหน้าตาดี




สาเหตุที่เกิดมาหน้าตาดี

1. อารมณ์เยือกเย็นสุขุม อดทนอดกลั้น

2. มีใจเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ เห็นอกเห็นใจผู้อื่น

3. กล่าวชมเชยเมื่อเห็นคนอื่นทำความดี

4. ยกความดีให้คนอื่น (ปิดทองหลังพระ)

5. สุภาพ อ่อนโยนต่อผู้หลักผู้ใหญ่

6. สมทบทุนจัดหาอุปกรณ์ในการตกแต่ง

7. ทำความสะอาดสถานที่ปฏิบัติธรรม

8. ประดับตกแต่งสถานที่ปฏิบัติธรรม

9. ให้เกียรติคนอัปลักษณ์โดยไม่รังเกียจ

10. รักษาศีล เพราะศีลเป็นเหตุให้รูปสวย

ที่่มา-พระนพดล สิริวํโส

คนมีธรรม