1.8.13

เรื่องของกรรม



เรื่องของกรรม

ครั้งเมื่อข้าพเจ้ายังอยู่ในวัยเด็ก ได้ยินได้ฟังผู้ใหญ่พูดกันเสมอถึงคำว่า “กรรม” เช่นสมัยก่อนเมื่อทราบว่า คนที่รู้จักชอบพอกันเป็นโรคฝีในท้องหรือวัณโรค ผู้ใหญ่มักจะพูดว่า “กรรมของเขา” หรือพวกลูกหลานไปติดฝิ่นหรือยาเสพติด เช่น กัญชาจนเสียผู้เสียคน ผู้ใหญ่ก็มักจะชอบพูดว่า “กรรมของมัน” ถ้ามีลูกหลานไปทำผิด มีผู้มาบอก ญาติผู้ใหญ่มักจะโวยวายโทษว่า “กรรมแล้วๆ ๆ” และได้ยินเรื่องกรรมเสมอตลอดมาจนชินหู

ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักคำว่า “กรรม” เป็นเรื่องที่ชั่วร้ายเป็นสิ่งที่น่ารังเกียจ เมื่อพูดถึงคำว่า “กรรม” คนส่วนมากมักจะเข้าใจว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี เป็นเสนียดจัญไร เป็นของชั่วช้ามีแต่ให้โทษไม่มีอะไรให้คุณ คิดว่าทั้งในอดีตและปัจจุบันนี้มีผู้ที่เข้าใจว่าชั่วร้ายยังมีไม่น้อย เพราะมีอะไรไม่ดีขึ้นก็มักจะโทษกรรม แต่เมื่อข้าพเจ้าได้รู้ได้เห็นได้ยินได้ฟัง และได้พิจารณาหาเหตุผล มีความรู้สึกคำว่า “กรรม” นั้นเป็นคำกลางๆ เพราะหมายถึง กระทำหรือทำ ไม่ใช่เป็นคำชั่วร้ายอย่างที่เข้าใจ

นอกจากจะมีคำนำหน้าหรือพ่วงหลัง เช่น ผู้สร้างความดี มีจิตใจเมตตาปรานี ทำบุญให้ทาน ปฏิบัติตนอยู่ในศีล ๕ ก็เรียกว่า “กุศลกรรม” หมายถึง ผู้สร้างความดีเป็นบารมี หากผู้สร้างความชั่ว เช่น ฆ่าสัตว์หรือฆ่าตัวเองก็ดี หรือเป็นโจรผู้ร้ายลักขโมยหรือชอบเป็นชู้กับเมียของผู้คนที่เจ้าของหวงเจ้าของรัก หรือพูดจาส่อเสียดยุยงในเรื่องไม่เป็นความจริง ให้คนแตกสามัคคีเกิดเสียหาย หรือเมาสุราอาละวาดก่อกวนให้สังคมเดือดร้อน สิ่งเหล่านี้ผิดในศีลห้าข้อ เป็นการผิดในศีลธรรมก็เรียกว่า “อกุศลกรรม”

ฉะนั้นเราได้พิจารณาคำว่า กรรม ก็หมายถึง เพียงการกระทำหรือทำ หากเราทำความดีก็เรียกว่า “กรรมดี” หากเราทำความชั่วก็เรียกได้ว่า “กรรมชั่ว” เพียงตัวอย่างนี้ก็จะเห็นได้ว่า คำว่ากรรมนั้นมีความหมายว่าทำหรือกระทำ เป็นคำกลางเมื่อผสมกับความดีหรือความชั่วได้ทั้งสองอย่าง ไม่ได้หมายถึงความชั่วดังที่ข้าพเจ้าเคยนึกคิดแต่เดิม

เมื่อได้คิดพิจารณาให้ลึกซึ้งลงไปอีก ก็คิดว่าคำว่ากรรมนั้นจะมาใช้แทนคำว่า ”ทำ” หรือ “กระทำ” ก็ไม่ได้ เพราะคำว่ากรรมนั้นเป็นการกระทำที่หนัก คล้ายกับว่ากรรมนั้นเป็นคำที่ผู้ใดได้สร้างกรรมดีหรือกรรมชั่วขึ้นแล้ว ผลก็จะตามสนองไม่ช้าก็เร็วไม่มีใครหนีพ้น ฉะนั้นกรรมนี้จึงใช้แต่บางกรณีเท่านั้น เป็นความรู้สึกในเรื่องกรรมเช่นนี้จะผิดหรือถูกนั้น

ข้าพเจ้าขออภัยด้วย หากว่าไม่ตรงกับความรู้สึกของท่านผู้ใด ในเรื่องกรรมดีกรรมชั่วข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองมาแล้ว และประสบกับผู้อื่นที่เชื่อถือได้ ทั้งได้เคยเขียนและยังไม่เคยเขียน ข้าพเจ้าจึงขอรวมทั้งกรรมดีและกรรมชั่วไว้ในที่นี้ เพื่อท่านจะได้ใช้ปัญญาพิจารณาดูเรื่องที่เกิดขึ้นในยุคนี้แล้ว

บ่ายวันหนึ่ง ข้าพเจ้านั่งเขียนหนังสือเพลินอยู่ในที่ทำงาน บังเอิญยังไม่กลับบ้าน ตามปกติข้าพเจ้ากลับบ้านตอนบ่าย เมื่อเงยหน้าขึ้นก็มองเห็นท่านผู้หนึ่งเดินเข้ามาในที่ทำงาน และเดินตรงมาหาข้าพเจ้า เมื่อเห็นหน้าคลับคล้ายคลับคลาว่าเคยรู้จักกันมาก่อน เมื่อข้าพเจ้าได้เชิญให้นั่งเรียบร้อย ท่านผู้นั้นเห็นข้าพเจ้างงๆ อยู่ก็ถามขึ้นว่า “จำผมได้ไหม”

ข้าพเจ้าก็ตอบอ้อมแอ้มไปว่า “จำได้แต่นึกชื่อไม่ออก” ท่านผู้นั้นหัวเราะแล้วพูดว่า “ผมชื่อ......... ไงล่ะจำได้ไหม” ข้าพเจ้าก็ตะลึงขึ้นมาทันทีแล้วพูดออกมาลอยๆ ว่า “คุณ......... จริงหรือ” ข้าพเจ้าพูดขึ้นด้วยไม่แน่ใจ เพราะชื่อนี้กับข้าพเจ้าคุ้นเคยกันมาแต่เด็กๆ และเราเคยร่วมเรียนโรงเรียนเดียวกันมา

ครั้งหลังท่านผู้นี้นอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ข้าพเจ้าไปเยี่ยมหลายครั้ง เห็นมีอาการหอบรูปร่างผอมแก้มตอบ อาหารกินไม่ได้ต้องให้น้ำเกลือ ต่อมาครั้งหลังเห็นมีอาการหนักหอบถี่ต้องใช้ออกซิเจนช่วยหายใจ ข้าพเจ้าเห็นแล้วก็เศร้าใจ หมอเห็นว่าถ้าปล่อยให้คนมาเยี่ยมไข้กันมากคนนั้น ย่อมจะทำให้คนไข้ขาดการพักผ่อน อาการอาจทรุดหนักลงได้เพราะต้องพูดต้องตอบคำถาม

ทั้งที่ร่างการอ่อนเพลียต้องการพักผ่อน คนเยี่ยมส่วนมากไม่ได้นึกถึงข้อนี้ เมื่อทราบว่าหมอห้ามเยี่ยมก็คิดว่าอาการไม่น้อย เมื่อข้าพเจ้าไปเยี่ยมเห็นอาการครั้งหลังก่อนหมอห้ามเยี่ยม ก็เห็นอาการหนักอย่างน่าเศร้าใจ แม้ข้าพเจ้าไม่ได้ไปเยี่ยม แต่จิตใจก็ระลึกถึงภาวนาอยากให้หายเพราะเพื่อนรุ่นเก่าๆ นับวันจะน้อยลง

บัดนี้ มีท่านผู้หนึ่งมีสภาพที่ปกติแข็งแรงไม่ผอมแห้ง ตรงข้ามกับเพื่อนที่ข้าพเจ้าเคยไปเยี่ยมที่โรงพยาบาลครั้งหลัง ซึ่งยังเข้าใจว่านอนป่วยอยู่โรงพยาบาล ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงงง เพราะไม่ได้นึกฝันว่าจะได้พบจึงคิดข้ามเลยไปไม่ได้ แต่เมื่อได้ทราบว่าท่านได้หายป่วยปกติแล้ว ก็มีความปิติยินดี

เมื่อเข้าใจกันดีแล้ว ท่านผู้นั้นก็หัวเราะและพูดว่า ผมอยากจะมาเล่าเหตุการณ์ที่ผมหายป่วยเป็นเรื่องพิสดารให้คุณฟัง ตอนอยู่โรงพยาบาลเมื่อคุณไปเยี่ยมนั่น เป็นเวลาผมอาการหนักมาก มีแต่ทรงกับทรุด ผมต้องนั่งหลังโก่ง อ้าปากหอบ จะนอนก็นอนไม่ได้แน่นหน้าอกหายใจไม่ออก ต้องนั่งทรมานเอามือ ๒ ข้างกดยันถ่างไว้ข้างหน้า นั่งหลังงอเป็นกุ้ง หอบฮักๆ ผงกหัวขึ้นลง ขณะที่หายใจเข้าออกน้ำมูกน้ำลายไหลออกทางปากทางจมูก เหนื่อยแทบขาดใจ ทำให้ผมนึกถึงตัวว่าบาปกรรมอันใดที่ผมได้ทำไว้ ถึงต้องได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาหัสเช่นนี้ ผมไม่เคยสร้างกรรมชั่วเลย

เมื่อเห็นสภาพตัวเองเวลานั้น ผมหมดอาลัยในชีวิต นึกอิจฉาคนที่ไม่ป่วยไข้ กินอะไรกินได้ ไปเที่ยวไหนเที่ยวได้ ส่วนผมต้องทรมานอยู่ในโรงพยาบาล กินก็ไม่ได้ ไปก็ไม่ได้เป็นแรมปี ทรมานทั้งร่างกายและจิตใจ แต่แล้วเห็นจะหมดเวร ทำให้ผมเกิดระลึกนึกถึงหมาตัวหนึ่งได้ว่า เวลานี้ผมมีสภาพเหมือนหมาตัวนั้น ผมมีหมาตัวหนึ่งเรียกชื่อมันว่า “อ้ายหมี” มันเป็นหมาดำปลอด ตลอดทั้งลิ้นก็ดำ มันเคยตบงูเล่นได้ไม่กลัว ความจริงผมก็รักอ้ายหมีมาก มันประจบก็เก่ง เราอยู่สวนก็จำเป็นต้องมีหมาดุๆ เพื่อไว้เฝ้าสวนและเฝ้าผลไม้ในสวน

ผมจำได้ว่า ครั้งนั้นเป็นฤดูทุเรียนและส้ม ตอนเย็นเราจึงตัดทุเรียนและส้ม ผลไม้อื่น ที่มีในสวนมาไว้ในบ้าน ตอนเช้ามืดก็จะมีคนมาขนไปใส่รถนำไปขายเชิงสะพานเหล็ก ริมคลองมหาพฤฒาราม มีคนมารับเอาไปเป็นประจำทุกเช้า แต่เช้าวันหนึ่งคนที่มากำลังก้มลงหยิบตะกร้าใส่ผลไม้ เจ้าหมีเกิดคะนองอย่างไรก็ไม่รู้ มันกระโดดเข้ากัดหัวไหล่ ทั้งที่ผู้นั้นเคยมาเอาของยกขึ้นรถเป็นประจำทุกเช้า ทำให้ผมโมโหโกรธมาก ที่มันไม่รู้จักจำคนไปกัดเขาไม่รู้จักคุ้นบ้างเลย ผมเลยจับปลอกคอลากตัวมันลงมาที่คลองข้างสวน จับหัวมันกดลงไปใต้น้ำสักพักหนึ่ง ทำโทษเพื่อจะให้มันรู้จะได้เข็ด ทีหลังจะได้ไม่กัดคนที่เข้ามาในบ้านเพื่อนำผลไม้ขึ้นรถไปขาย

ผมทำเพื่อสั่งสอนให้มันรู้เท่านั้น ไม่ได้ตั้งใจจะลงโทษมันรุนแรงเกินไปหรอก มันพยายามดิ้นทุรนทุราย ตะเกียกตะกายหนีพักหนึ่ง ผมก็ดึงหัวมันขึ้นพ้นน้ำปล่อยมันลงที่พื้นดิน เห็นมันอ้าปากหอบซี่โครงบานพองขึ้นยุบลง มันยังอุตส่าห์นั่งถ่างขา หัวสั่น น้ำลายไหลทางจมูกย้อยลงบนพื้นดิน เหลือบตาขึ้นมองดูผม

เห็นแล้วผมก็นึกสงสารขึ้นมา คิดว่าเราไม่ควรมือหนักกดน้ำมันนานเกินไปจนอาการเช่นนี้ ถ้าช้ามันคงขาดใจตาย คิดว่ามันนั่งถ่างขาหอบได้มันคงไม่ตายไม่ช้ามันคงหาย แล้วผมก็ไปทำงานอื่นไม่อยากเห็นสภาพที่น่าสงสาร ให้เวลาพักผ่อนเท่านั้นก็จะช่วยให้มันหายเป็นปกติได้ ตอนเย็น ผมกลับไปดูมันในสวนอีก คราวนี้มันหายจริงๆ มันหายไปทั้งตัว ไม่รู้ว่าอ้ายหมีมันหายแล้ว มันหนีไปไหนค้นหาเท่าไร่ก็ไม่เห็น พยายามตามหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ บัดนี้นับสิบๆ ปีผ่านมาแล้ว

มาคราวนี้ผมหอบพิจารณาดูตัวเองแล้ว มีสภาพเหมือนอ้ายหมีหมาของผมที่ถูกกดน้ำเมื่อถึงหัวมาพ้นน้ำ กิริยาท่าทางเหมือนกัน ผิดแต่ว่าผมเป็นคนมันเป็นหมา ผมก็นึกได้ว่ากรรมชั่วที่ทำกับอ้ายหมีได้ตามมาสนองถึงผมแล้ว ผมนั่งยันมือสองข้างหอบ น้ำมูกน้ำลายไหล มันเป็นท่าทางของอ้ายหมี ตอนมันเหลือบตาขึ้นดูผมเหมือนมันจะแค้น ผมจึงแน่ใจว่าอกุศลธรรมที่ทำกับอ้ายหมีแน่ไม่มีข้อสงสัย

ผมจึงได้ตั้งสติ ตั้งใจทั้งกำลังป่วยหนัก อธิษฐานใจว่า อ้ายหมีเอ๋ยถ้าเจ้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าขอโทษที่ทำรุนแรงกับเอ็งครั้งนั้นโดยไม่ได้เจตนา อย่าจองเวรจองกรรมกับข้าเลย ถ้าเอ็งตายไปแล้วข้าก็ขอทำบุญสร้างกุศลอุทิศไปให้เอ็ง ขอให้มีความสุข สัญชาติของเอ็งก็เป็นที่รู้กันว่ามีความกตัญญู จงอย่าก่อกรรมจองเวรเลย ข้าไม่ได้ตั้งใจจะทำกับเอ็งรุนแรงถึงเพียงนั้น ถ้าเอ็งยังไม่ตายมีชีวิตอยู่แห่งใด ก็ขอจงอโหสิกรรมให้ข้าเถิด ขออย่าให้โรคนี้ทรมานข้าต่อไปเลย ข้าขอรับผิดและขอขมาเอ็งด้วย

อธิษฐานจิตเท่าที่ผมนึกได้ในเวลานั้นแล้ว ผมก็แผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตาให้ว่า บุญกุศลใดที่ผมได้สร้างไว้ขออุทิศสส่วนกุศลนั้นให้อ้ายหมีหมาที่ผมเลี้ยงแต่ก่อนจงมารับกุศลในบัดนี้ด้วย ต่อมาอาการของผมก็ค่อยทุเลาขึ้นนับว่ามหัศจรรย์ มันเป็นเรื่องแปลกเหมือนกัน นับแต่วันที่ผมได้อธิษฐานจิตแผ่ส่วนกุศลแผ่เมตตาจิตถึงเจ้าหมี ต่อมาอาการของผมก็ดีขึ้นตามลำดับ ผมไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน และผมหายจึงได้ทำบุญแผ่ส่วนกุศลไปให้อีกและจึงได้มาหาคุณ ทำให้คุณงงและแปลกใจคงไม่นึกว่าเป็นผม

ข้าพเจ้าได้ฟังเรื่องแปลกๆ ก็อดคิดไม่ได้ว่า นี่ผลแห่งกรรมแต่เป็นอกุศลกรรม จึงเกิดผลร้ายตามสนอง ข้าพเจ้าได้เขียนขึ้นตามคำบอกเล่าที่ได้สนทนามาแล้ว บัดนี้ท่านผู้นี้ได้หายจากไข้ที่ทรมาน และได้มานั่งเล่าเหตุการณ์ที่แปลกประหลาดให้ข้าพเจ้าฟังว่า ท่านผู้นี้เคยสร้างกุศลไว้มากเท่าที่ข้าพเจ้าทราบมีไม่น้อย และที่ข้าพเจ้าไม่ทราบก็มีอีกมาก บริจาคเป็นทุนให้ทางโรงเรียนเพื่อช่วยเหลือนักเรียนที่เรียนดีแต่ยากจน และสมทบเงินสร้างโรงเรียน บริจาคเงินบำรุงโรงพยาบาล เป็นต้น นับว่าเป็นกรรมดี

ทราบว่านอกจากนั้น ก็ยังคงเป็นหมอดูหรือผูกดวงทำนายโชคชะตาอย่างแม่นยำโดยไม่ต้องการค่าตอบแทน เมื่อครั้งป่วยอยู่โรงพยาบาลก็ยังมีผู้สนใจไปเยี่ยมๆ มองๆ คอยหาโอกาสที่จะไปขอให้ดูโชคชะตา ทั้งที่หมอห้ามเยี่ยม

บัดนี้ หายจากการป่วยอย่างอภินิหาร จึงขอร้องท่านว่า ข้าพเจ้าอยากจะเขียนเรื่องนี้เข้าในชุด “กฎแห่งกรรม” แต่อยากจะขอลงนามจริงจะขัดข้องหรือไม่ เรื่องเช่นนี้ข้าพเจ้าได้พิจารณาดูแล้วคงไม่เกิดความเสียหายอะไรกับท่านมากนัก ท่านก็ยินดีบอกว่า “ออกชื่อผมได้เลยอนุญาต ข้าพเจ้าก็ขอขอบคุณท่านมาในที่นี้ด้วย คิดว่าเรื่องนี้คงจะมีประโยชน์แก่ท่านผู้ได้อ่านบ้าง ท่านผู้นั้นคือ คุณทองหล่อ นิยมาภา อดีตสมาชิกสภาจังหวัดพระนคร และอดีตสมาชิกสภาเทศบาลนครกรุงเทพฯ

เมื่อได้พูดถึงอกุศลกรรมมาแล้ว แม้ว่าการกระทำโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่ผลก็ได้รับทันในชาตินี้ ถ้าจะนับว่าเป็นกรรมชั่วเห็นผลช้าที่เบาจึงให้ผลเร็ว หากว่าเป็นกรรมชั่วที่หนักก็คงจะเห็นผลช้า คราวนี้เรามาพิจารณาดูผลแห่งกรรมดีกันบ้าง เพราะบังเอิญคุณประสิทธิ์ได้นำเอาบันทึกมาให้ข้าพเจ้า บอกว่ามีผู้บันทึกฝากมาจากจังหวัดชลบุรี ข้าพเจ้าก็ได้นำบันทึกฉบับนั้นมาพิจารณาดู เห็นว่าเป็นเรื่องของกรรมดีคู่กับเรื่องกรรมชั่ว จึงได้เขียนขึ้นเพื่อท่านจะได้พิจารณาดูด้วยปัญญาว่า สิ่งลี้ลับที่ตามสนองนั้น มีทั้งกรรมดีกรรมชั่วดังที่มีผู้บันทึกต่อไปนี้

เมื่อ พ.ศ. ๒๔๙๗ ผมได้ขึ้นไปหาคุณแม่ที่ต่างจังหวัด เวลานั้นท่านรับราชการเป็นครูใหญ่อยู่ที่โรงเรียนสตรีประจำจังหวัดตาก เมื่อมีคำสั่งเป็นทางการให้ย้ายเข้าประจำกระทรวงศึกษาธิการ ผมจึงขึ้นไปเพื่อชวนคุณแม่ จัดของใช้ เครื่องใช้ประจำบ้านของคุณแม่มีไม่น้อย จึงบรรจุเข้าหีบห่อเตรียมจัดส่งเข้ากรุงเทพฯ ตามปกติผมเป็นผู้มีนิสัยชินที่ต้องหาขนมหวานกินตอนกลางคืน เพราะผมอยู่ชลบุรี กลางคืนก่อนนอนต้องหาขนมหวานกินจนเคยตัวเสียแล้ว

คืนนั้นประมาณสองทุ่ม ผมเตรียมตัวจะออกจากบ้านไปตลาดเพื่อซื้อขนมกินตามนิสัยเคย ผมติดไฟฉายไปด้วย คืนนั้นเป็นคืนข้างขึ้นอ่อนๆ ทางก็ไม่สู้จะมืดนักพอ แลเห็นสิ่งหยาบๆ ได้ไกลๆ เมื่อผมลงจากบ้านพอเดินมาถึงประตูนอก จะเปิดออกไปถนน ผมกำลังจะเอื้อมมือไปถอดกลอนไม้ก่อนที่มือจะถึง ทันใดนั้นหูก็ได้ยินเสียงกระซิบเตือนว่า หยุดก่อน อย่าเปิด ระวังงู ทำให้ผมสะดุ้งชะงัก มือที่กำลังจะเอื้อมไปถอดกลอนประตูออก ก็หดมือทันที

ผมได้ยินอย่างชัดถ้อยชัดคำเป็นเสียงประหลาด เมื่อได้ยินเช่นนั้นผมก้าวถอยหลังหนึ่งก้าว รีบหยิบไฟฉายเปิดส่องดูที่กลอนประตู ซึ่งเป็นกลอนประตูแบบโบราณใช้ไม้เป็นสลักแบนๆ เมื่อไฟส่องไปก็มองเห็นดวงตางูทั้งคู่แวววาวเมื่อถูกกับแสงไฟฉาย ผมก็ตื่นเต้นตกใจ สีงูกับสีไม้เก่าๆ มันกลืนกัน แทบจะเป็นสีเดียว หากช้านิดเดียวเอามือไปถอดกลอน ผมก็ถูกงูฉกกัดมือแน่ไม่มีปัญหา โลกนี้มีสิ่งอะไรลึกลับที่คอยเตือนระวังภัยให้เรา มันเป็นเรื่องที่แปลกผมก็ไม่สามารถบอกได้ว่าเสียงนั้นมาจากไหนได้ช่วยชีวิตผมได้ทันเวลา

งูตัวนั้นขดพันอยู่บนกลอนประตูไม้ เมื่อถูกแสงไฟฉายส่องออกไป งูก็ผงกหัวชูคอขึ้นส่ายหัวไปมา แล้วก็ค่อยๆ คลายตัวที่ขดอยู่เลื้อยหายไปในกอหญ้า นึกว่างูก็กลัวคนถ้าไม่เหยียบหรือจับต้องตัวก็ไม่ทำอันตรายเรา ทำให้ผมนึกถึงก่อนหน้าประมาณหนึ่งปีกว่า ผมได้เดินทางขึ้นมาจังหวัดตากเพื่อเยี่ยมคุณแม่เป็นครั้งแรก เที่ยวตามถนนทุกแห่งเพราะใหม่ต่อสถานที่ ผมพักอยู่กับคุณแม่ที่บ้านพักประมาณ ๗ วัน ก่อนจะกลับบ้านจังหวัดชลบุรี

ผมเที่ยวชมทิวทัศน์ในเมืองแบบทั่วทุกถนน สุดบ้านเหนือบ้านใต้ลอดถนนริมแม่น้ำปิงเป็นทิวทัศน์ที่สวยงาม ทั้งนี้ได้อาศัยจักรยานของภารโรงประจำโรงเรียนสตรีประจำจังหวัดได้กรุณาให้ผมยืม ผมจึงได้ออกไปทางห่างจากตัวจังหวัดเป็นถนนยังไม่เรียบร้อยมีทรายปนดิน การถีบจักรยานก็หนักแรงไม่ค่อยจะวิ่ง แต่ทิวทัศน์ตามธรรมชาติที่สวยงามมาก ถนนควบคู่กันไปกับลำน้ำปิงทำให้เพลิดเพลิน

ผมต้องใช้กำลังถีบมากขึ้นเมื่อมาถึงตำบลไม้งาม เป็นหมู่บ้านแต่ก็มีสินค้า และมีโรงหนัง มีโรงงานทำครั่งเป็นอุตสาหกรรมที่ขึ้นหน้าของตำบลไม้งาม การเลี้ยงครั่ง มีโรงรับซื้อครั่งดิบ มีที่ล้างครั่ง มีลานตากครั่งให้แห้ง ผมยังไม่เคยรู้เคยเห็นก็แปลกและสนใจ ผมต้องถีบจักรยานตามทางที่กันดาร ซ้ำถนนก็เป็นทรายปนดินทำให้เกิดกระหายน้ำ เพราะระยะทางจากในเมืองมาถึงตำบลไม้งามนี้ยาว ๗ กิโลเมตร จึงเลี้ยวรถเข้าหยุดพักที่หน้าโรงหนัง รู้สึกว่าจะฉายชั่วครึ่งชั่วคราว ผมสั่งน้ำหวานใส่น้ำแข็งมา ๑ แก้ว กำลังนั่งดื่มด้วยความกระหาย

มองไปเห็นคนจับกลุ่มกันอยู่ข้างถนน ก็นึกว่าคงมีเหตุร้ายอะไรเกิดขึ้นแต่คงไม่ใช่คนถูกรถชน เพราะรู้สึกว่าไม่มีรถผ่านไปมาเลย แรกๆ ผมก็ไม่ค่อยสนใจ แต่เมื่อดื่มน้ำหวานเข้าไปได้ครึ่งแก้วรู้สึกแก้กระหายและสบายใจขึ้นหายเหนื่อย เมื่อได้นั่งพัก จึงถามเจ้าของร้านเครื่องดื่มว่า “คนเขามุงดูอะไรกันนะครับ”

หญิงเจ้าของร้านบอกว่า “เด็กถูกงูกัดค่ะ”

ผมนึกสะดุ้งใจนึกเป็นทุกข์จึงถามว่า “ทำไมไม่รีบพาส่งโรงพยาบาลด่วน ประเดี๋ยวก็ไม่ทันก็จะตาย”

หญิงเจ้าของร้านบอกว่า “เขาให้คนรีบไปตามพ่อแม่แล้วละค่ะ แต่ยังไม่เห็นมา”

ผมชักไม่สบายใจเกิดเป็นห่วงเด็ก มัวคอยพ่อแม่เมื่อไรมาก็ไม่รู้ กลัวว่าจะไม่ทันถึงโรงพยาบาล ล่าช้าไปหมอก็ช่วยไม่ทัน นอนใจไม่ได้ เกิดทำให้ผมคิดถึงอกเขาอกเรา เป็นเพื่อนมนุษย์ด้วยกันซ้ำเป็นเด็กตาดำๆ จะปล่อยไว้ตามบุญตามกรรมกว่าพ่อแม่จะมาถึงเด็กคงตาย คิดแล้วผมก็เกิดความสงสารเด็กขึ้นมา รีบจ่ายค่าเครื่องดื่ม แล้วนึกในใจว่าเราควรจะช่วยเด็กให้พ้นอันตราย นึกดังนั้นแล้วผมรีบออกจากร้านเครื่องดื่ม ตรงเข้าไปที่หมู่ชนรีบแหวกคนที่มุงดูเข้าไปเห็น เด็กนอนบิดตัวไปมาหน้าบูดเบี้ยวอยู่กลางพื้นดินเหงื่อชุ่มตัวร้องว่า ปวด ปวดเหลือเกิน

ผมไม่รอช้ารีบประคองเด็กให้ลุกขึ้นนั่ง แล้วให้เหยียดเท้าให้ตรงพิจารณาดู ถามว่าถูกกัดตรงไหน เด็กชี้ไปทางนิ้วเท้า เมื่อผมพิจารณาแล้วก็เห็นมีรอยเขี้ยว คนที่มุงดูคนหนึ่งบอกว่างูกะปะกัดเพราะตำบลนี้มีงูกะปะชุกชุม ผมก็รีบจัดการพยาบาลที่เคยศึกษาวิชาลูกเสือจากโรงเรียนนำมาออกใช้เวลาคับขัน โดยถอดเข็มขัดของเด็กออกรัดโคนขาจนแน่น และพยายามรีดปากแผลให้เลือดมันออก ผมบอกว่าทนหนูเจ็บหน่อยนะทนเจ็บจะได้หาย ผมนึกว่าทางที่ดีที่สุดรีบส่งโรงพยาบาลด่วน แต่แถวนั้นมองดูแล้ว ไม่มีพาหนะอะไรที่จะส่งเด็กไปถึงโรงพยาบาลให้เร็วได้

ผมร้อนใจมากมีความสงสารเอ็นดูเด็กเป็นทุน เกิดห่วงกังวลว่าจะนำส่งโรงพยาบาลไม่ทัน คิดว่าไม่มีทางอื่นจะดีกว่าต้องนำเด็กขึ้นจักรยานไปกับผม ต้องรีบไปให้ถึงโรงพยาบาลเร็วที่สุด เพราะไม่มีทางใดจะเร็วและดีกว่านี้ ผมไม่สนใจว่าพ่อแม่เขาจะมาหรือไม่ ผมรีบพยุงเด็กขึ้นนั่งคร่อมข้างหน้ารถจักรยาน แต่ไม่ง่ายอย่างที่คิดลำบากไม่ใช่เล่น แต่ผมก็พยายามอย่างทุลักทุเล และมีคนในกลุ่มนั้นใจดีช่วยพยุง และบางคนก็แก้ผ้าขาวม้าจากเอวส่งให้ผมให้ผูกกันเด็กตก ผมจึงผูกเด็กไว้กับตัวถังรถกันตกหลายรอบชาวบ้านต่างก็พากันช่วย แล้วผมก็ปลอบใจเด็กว่าจะนำไปรักษาที่โรงพยาบาล ให้เด็กพยายามแข็งใจไว้ประเดี๋ยวก็ถึง ผมพยายามให้กำลังใจเด็กตลอดเวลา

วันนั้นนับว่าเป็นบุญกุศลของผมและเด็ก ไม่รู้ว่าผมเอากำลังที่ไหนมาถีบจักรยาน เร่งเวลากลับเข้าเมือง นำเด็กไปส่งถึงโรงพยาบาลได้เร็วอย่างน่าแปลกใจ ถ้าเวลาปกติผมคงเหนื่อยแทบขาดใจ ทั้งที่ถนนไม่ดีเป็นทรายปนดินหนักแรงกว่าถนนธรรมดาสองเท่ากลัวยางจะแตก แต่ก็มาได้อย่างปลอดภัย

เมื่อมาถึงโรงพยาบาล ผมก็รีบแก้ผ้าขาวม้าที่ผูกเด็กไว้ รีบอุ้มแทบจะวิ่งตรงเข้าไปหานายแพทย์เวรคิดว่าหมอเท่านั้นที่จะช่วยได้ เวลานั้นเห็นหมอเป็นผู้วิเศษหรือเทวดา ผมรีบบอกหมอว่าเด็กถูกงูกะปะกัด พูดไม่กี่คำหมอก็รีบมาตรวจดูแผลที่ถูกงูกัด แล้วก็รีบจัดยามาฉีดทันทีไม่รอให้เสียเวลา เมื่อหมอฉีดยาแล้วผมก็ถามหมอว่า “ผมมาทันเวลาไหมครับหมอ เด็กจะหายไหม”

หมอบอกว่า “เห็นจะไม่เป็นอะไรมากนัก หากมาช้ากว่านี้สัก ๕ นาที ผมก็ไม่รับรอง”

ผมได้ยินหมอพูดเช่นนั้นก็โล่งอกสบายใจขึ้น เพราะผมกลัวจะมาไม่ทัน ผมเป็นห่วงวิตกกังวลกลัวมาตลอดทางว่าจะไม่ทันเวลา เมื่อหมอบอกเช่นนั้นผมก็ดีใจที่ได้ช่วยชีวิตเด็กไว้ได้ หมอถามถึงชื่อเด็ก อายุของเด็ก ตำบลที่อยู่ ชื่อพ่อชื่อแม่

ผมก็เล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ผมไม่เคยรู้จักเด็กคนนี้มาก่อน เห็นถูกงูกัดนอนอยู่ข้างถนน พ่อแม่ก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน ผมก็สงสารจึงรีบนำส่งโรงพยาบาลหมอบอกว่าดีแล้ว เป็นบุญของเด็กที่พบผู้ที่มีมนุษยธรรม ผมเองก็รอดูอาการของเด็กหลังจากฉีดยาแล้ว เพราะยังลุกไม่ไหว ต้องคอยให้ยาดมไว้

ผมเห็นอาการของเด็กค่อยๆ ดีขึ้น ประมาณชั่วโมงกว่าก็ยังไม่เห็นญาติพี่น้องพ่อแม่ของเด็กติดตามมา ผมก็เลยบอกกับหมอว่า เมื่อเด็กปลอดภัยแล้วผมก็จะกลับ กำลังจะลาหมอกลับ ก็พอดีที่พ่อแม่ของเด็กมาถึงโรงพยาบาล และแสดงความขอบอกขอบใจผมที่ได้ช่วยให้ลูกชายของแกพ้นอันตรายมาได้ ทั้งเด็กพอเห็นหน้าพ่อแม่ก็มีกำลังใจขึ้น พูดได้แต่ยังไม่มีกำลังลุกขึ้นยืน แต่ก็พยายามยกมือขึ้นไหว้และกล่าวคำขอบคุณผม เมื่อผมได้บอกลา และออกจากโรงพยาบาลกลับบ้านพักด้วยความภูมิใจ ว่าผมได้ทำหน้าที่พลเมืองดี และสร้างกุศลกรรมทำให้ผมเกิดความสุขขึ้นทางใจ นึกชื่นใจในตัวเองที่สร้างกรรมดี เป็นความรู้สึกที่หายาก แม้จะมีทรัพย์สินเงินทองก็ซื้อไม่ได้

นี่แหละครับเหตุการณ์ที่ผมได้ผจญมาในครั้งนั้น จะไม่มีวันลืมเลยในชีวิต แม้ผมจะไม่แน่ใจแต่ก็อดคิดไม่ได้ว่าผู้สร้างกรรมดี เมื่อถึงคราวอับจนแล้ว ย่อมจะมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์อภินิหารเกิดขึ้นคอยปัดเป่าช่วยเหลือตอบแทน ไม่ให้เป็นอันตรายอย่างไม่นึกไม่ฝัน อย่างในเรื่องในชีวิตของผมได้ประสบมาด้วยตนเองแล้ว ผมได้ช่วยเหลือเด็กที่ผมเอ็นดูสงสาร ให้พ้นจากการตายเพราะถูกงูกัด และผมได้รอดพ้นจากงูกัดด้วยเสียงเตือนอันลึกลับ เป็นอภินิหารเรื่องหนึ่ง

ข้าพเจ้าได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว ก็อยากจะพูดว่า นี่เป็นเรื่องหนึ่งของผู้ประกอบกรรมดีที่เราจะพิสูจน์ไม่ได้ ฉะนั้นข้าพเจ้าจึงได้ขออนุญาตเพื่อนำนามจริงของท่านเจ้าของเรื่องนี้ไว้ด้วย เมื่อท่านอนุญาตแล้ว จึงเรียนให้ทราบว่าท่านผู้นี้คือ คุณสุรโชติ จุลศิริ และขอขอบคุณเจ้าของนามมาก ในการที่ได้กรุณาบันทึกเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในชีวิต เพื่อให้เกิดประโยชน์แก่อนุชนรุ่นหลังต่อไป

ข้าพเจ้าผู้เขียนและผู้เรียบเรียงเอง ก็ได้เคยพบประสบเหตุการณ์ด้วยตนเองมาแล้วหลายเรื่อง ทั้งเคยเขียนมาแล้วและยังไม่ได้เขียน ฉะนั้นปัญหาว่าอภินิหารมีจริงหรือไม่ จึงไม่มีข้อสงสัยในความรู้สึกของข้าพเจ้า

จากหนังสือกฎแห่งกรรม 
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๓

การให้อภัย