วันนี้ก็มาอธิบายเกี่ยวกับวิธีฝึกหัดจิตใจของพวกเรา เพื่อให้มันถูกธรรม เพื่อไม่ให้หลงทาง เพราะธรรมที่พระพุทธเจ้า ที่ท่านบัญญัติไว้ ที่ท่านประกาศสอน ท่านสอนทางที่ถูก และที่ตรง ที่ชัดเจนมาก การที่เราจะปฏิบัติธรรมเพื่อให้ตรงให้ชัดเจน ไม่หลงทาง เราจำเป็นต้องศึกษาข้อบัญญัติของพระองค์ท่าน เพื่อมาเป็นแนวทางกำหนดจิตภาวนาของเรา หลักของพระพุทธองค์ก็บัญญัติไว้ว่า ไม่ให้พวกเราไปเชื่อในสิ่งที่ไม่เป็นมงคล สิ่งที่ท่านให้คือ ให้เราเชื่อมั่น คำสอนของพระองค์ท่าน
เราระลึกถึงพระคุณของท่าน น้อมเข้ามาสู่ใจ คือระลึกถึงความสว่างที่ท่านให้คือ พุทโธ คือระลึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่งของเรา ระลึกพระธรรมเป็นที่พึ่งของเรา ระลึกถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง ที่พึ่งอันใดอื่นนั้นก็ไม่มี ท่านไม่ได้บัญญัติ คำว่าพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เราต้องน้อมใจระลึกและศึกษาข้อปฏิบัติของท
แต่บางครั้งเราปฏิบัติจิต มีสิ่งที่ทำให้จิตใจของเราหลงทางได้ การปฏิบัติจิตที่ละเอียด นึกภาวนาพุทโธไป อาจเห็นพระพุทธเจ้าบ้าง เห็นครูบาอาจารย์บ้าง เห็นต่างๆ นานา ถ้าเห็นพระพุทธเจ้าก็ถือว่าเป็นมงคลแก่เรา
สิ่งที่ปรากฏ ไม่ใช่จริงอยู่ที่รูป ไม่ให้ยึดมั่นที่รูป… แต่ความจริงในใจ เราสังเกตดูว่า ตอนนี้ที่มีอยู่จริง มันจริงขนาดไหน ประเภทจริงร้อยเปอร์เซ็นต์ หรือจริงกี่เปอร์เซ็นต์ เรายึดมั่นในคำสอนของพระพุทธเจ้ากี่เปอร์เ
สิ่งที่พวกเราจะไม่หลงทางคือ ทำตามแนวทางของท่าน เราก็ต้องพิจารณากายของเรา คือพิจารณากายเป็นสิ่งที่ดีมาก แต่เราไม่ติดในรูปกาย คือจิตที่มีความสงบแล้ว ถึงฐานความสงบแน่วแน่ ให้ย้อนมาพิจารณากายให้เกิดความรู้แจ้งในก
วิธีนี้คือน้อมเข้ามาสู่ตัวเรา เราไม่อยากดึงจิตไปสู่ภายนอก การเห็นภายนอกไม่มีความสิ้นสุด มีแต่ยึดไปเรื่อยๆ เราพิจารณาให้เห็นความสิ้นสุดต้องน้อมเข้า
เห็นความจริงที่อยู่ในตัวเราเช่น เกศา นี่ก็..เขาให้พิจารณาว่าทำไมจึงเรียกเกศา ก็คือผมนั่นเอง เป็นกรรมฐานที่ไม่ใช่ทำได้เฉพาะพระสงฆ์ แต่พวกเราก็เอามาพิจารณาเป็นพื้นฐานในการป
แต่เราบำรุงได้ แต่ไม่ยอมทำให้เกิดความเบื่อหน่ายในสังขาร
การที่เรารักมันได้ ก็ต้องพิจารณาให้มันเบื่อหน่ายได้ ความเบื่อหน่ายในกายของเราต้องพิจารณาให้เ
ร่างกายสกปรก อารมณ์ของเราสกปรกด้วย ยิ่งมองอะไรไม่เห็น
เรามาฝึกเพื่อกำจัดความสกปรกภายในจิตใจของ
เราต้องมารู้จักในสิ่งที่กล่าวถึงเมื่อกี้
แต่ถ้าจิตใจไม่อยู่ในอารมณ์ธรรม ใจจะหลงทางต่างๆ นาน การหลงทางของจิตมีอยู่มากจริงๆ กล่าวย่อๆ ที่เคยปรากฏมาก่อน ตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้า คือมีความเชื่อมั่นในตัวเองปฏิบัติไปเรื่อ
เรามีปรากฏการณ์อย่างนั้น เห็นอยู่ ย้อนมาดูกาย มันก็ไม่จริง มันทำให้หลงทางได้ เพราะการปฏิบัติสมาธิ หลายต่อหลายครูอาจารย์ บางคนปฏิบัติไปเรื่อยเกิดรู้ธรรม ก็อยากไปสั่งสอนครูบาอาจารย์บ้าง เช่นพระก็อยากไปสอนครูอาจารย์ เช่นหลวงพ่อพวง แกอยู่เขาพนมรุ้ง ปฏิบัติไปเรื่อย ท่านนึกว่าท่านเป็นพระพุทธเจ้า ต้องไปสอนหลวงปู่ดูลย์ ที่วัดบูรพาราม หลวงปู่ท่านก็ตะเพิดออกมา ด่าทำให้โกรธ ความหลงนั่นก็หายไป
วิธีกำจัดวิปัสสนูต้องด่าให้โกรธ ถ้าโกรธแล้วหาย ถ้าไม่โกรธก็ไม่หาย พระหลายองค์เป็นแบบนี้ ทำไมปฏิบัติแล้วเสื่อมด้วย ทำไมไม่คงอยู่ตลอดไป โยมต้องเข้าใจว่าจิตที่ถึงจิตอันแท้จริงแล
ถึงเราจะอ้างคำสอนของพระพุทธเจ้าการกระทำก
เช่นหลวงปู่มหาบัวครูอาจารย์ของเราทั้งหลา
ไม่มีใครรู้เท่าตัวเราหรอก จิตคนละดวงเท่านั้นที่จะรู้ การรู้จิตเป็นวิธีหนึ่งของผู้ปฏิบัติ นิดเดียวเท่านั้นเอง มีส่วนในล้านเปอร์เซ็นต์ ในส่วนหนึ่งเปอร์เซ็นต์เท่านั้นเอง อันนี้เป็นวิธีกุศโลบายอย่างหนึ่ง รู้ได้ทุกคนแต่ว่าในระดับพวกเราก็ไม่ควรจะ
ถ้าจิตมันสงบก็ให้มันสงบเข้าไป ถ้ามันขาดจากอารมณ์ก็ให้มันขาดไป ไม่ต้องกังวล ถ้าเกิดกังวลนิดเดียวจิตจะไม่เข้าจุดตรงนั
แต่ไม่ใช่ให้จิตติดสุขตรงนี้ เป็นแค่การพักจิตขณะหนึ่งเท่านั้นเอง เพื่อให้เกิดพลัง ถ้าจิตพักผ่อนดี ถอนขึ้นมาก็มีกำลังดี ปัญญาดี เหมือนคนที่ทำงานเหนื่อย ไม่ได้พักเลย มันเครียดไปหมดเลย ถ้าได้พักผ่อนสักนิดหนึ่ง สักชั่วโมงนึง จะกระปรี้กระเปร่า ตรงนี้เป็นการพักจิตของเรา
วิธีการพักจิตของเรา เราก็ดูว่าเราพักได้แค่ไหน เฉพาะผู้ปฏิบัติธรรม ครูอาจารย์ ญาติโยมที่ฝึกจนชำนาญแล้ว แค่ห้านาทีเท่านั้นเอง ตื่นขึ้นมากระปรี้เปร่าไปหมดเลย สติปัญญาก็ปลอดโปร่ง ความเครียดก็หายหมด เขาเรียกพักด้วยสมาธิ
วิธีพักคือสูดลมยาวๆ เข้าไปในท้อง ทำไปเรื่อยๆ พุทโธ ๆๆ คือทั้งพุททั้งโธ คือความสว่าง พยายามกำหนดจิตให้อยู่ตรงนี้เรื่อยๆไปไม่ว
การสะดุ้งขึ้นมาตรงนี้ ถ้าเราเข้าใจว่าใช่ จิตเราก็ตก
อาตมาสังเกตดูเพื่อนอาตมาตอนที่อยู่ที่บ้า
[u]อยากให้ญาติโยมดำรงสติให้แน่วแน่ นิมิตที่มันผ่านไปผ่านมา อย่าไปยึดติดว่าเป็นจริงแน่ๆ เราก็เลยไม่เจอความจริง
เพราะสิ่งปรากฏไม่ได้ปรากฏด้วยอำนาจธรรม แต่ปรากฏด้วยวิบากกรรม ก็เลยทำให้จิตเสีย[/u]
เช่นพระสงฆ์ หมู่เพื่อนอาตมา ภาวนาดีมาก เช่นอาจารย์จุณ ขนาดเครื่องบินบินผ่านมาเห็นบนอากาศ เครื่องบินเฮลิคอปเตอร์ต้องบินลงมาที่วัด มาเจอท่านนั่งอยู่ บอกว่าทำไมท่านนั่งอยู่ตรงนี้แล้วจิตท่านไ
เขาเลยไปพูดกับหลวงปู่ หลวงปู่ก็บอกว่า “สิ่งที่เห็นนั้นเห็นจริง แต่ไม่จริง” ท่านบอก เห็นจริงๆ ในนิมิต แต่ลืมตาขึ้นมาแล้วก็ไม่จริง ถ้าเราน้อมจิตของเรา เข้ามาดูในต้นจิต สิ่งนั้นก็จะหายเลย ไม่เกี่ยวข้องเลย เพราะนิมิตมาข้องกับจิต จิตมันไปติดอยู่ 50-50 ก็เลยนึกว่าเป็นเรื่องจริง
หลวงปู่ดูลย์ท่านบอก “สิ่งที่เห็น เห็นจริง แต่ไม่จริง” เลยเขาว่าหลวงปู่ไม่รู้จริง เขาเลยออกวิเวกไปกับน้องสาว น้องสาวไปนั่งอยู่ถ้ำเชียงดาว น้องสาวภาวนาดีมาก จิตดิ่งดี ไม่ลุกเลย 8 ชั่วโมง พี่ชายก็ 16 ชั่วโมงไม่ลุกเลย ในถ้ำเชียงดาว ต่างคนต่างจิตดี กำหนดจิตไปเรื่อยๆ ถอนขึ้นมา เห็นว่าน้องสาวเป็นเมีย น้องสาวก็นิมิตเหมือนกัน เห็นว่าเป็นสามี คำว่าเมีย-ผัว รู้สึกว่าสะดุดจิตใจมาก โยมลองฝันถึงใคร โยมจะรู้สึกซาบซึ้งมากในการรู้สึกอย่างนี้
การฝึกสมาธิ ขอให้ญาติโยมอย่าไปปักใจเชื่อมันเลย เป็นอันขาด
ถ้ามันทำให้ออกจากหลักธรรมอย่างนี้ อย่าไปเชื่อมั่น ขอให้เรายึดมั่นสำคัญในหลักธรรมของพระพุทธ
อันนี้เป็นเหตุผลของการปฏิบัติว่าทำไมปฏิบ
โยมต้องพยายามตัดใจให้ได้ อย่าไปกังวล ตัดทิ้งไปเลย เพราะตรงนี้เป็นสิ่งที่ทำให้เราตก เราเคยไปผิดพลาด สวรรค์นิพพานไม่ให้ไปแล้ว มันอันตรายมาก
การปฏิบัติจิตของโยมก็พยายามกำหนดจิตของเร
มีแต่ความสว่าง ความรู้ ไม่มีนิมิตอะไรเลย
ถ้าอยู่ในพุทโธจริง ๆ จะมีแต่ความสว่าง ความรู้ เป็นผู้ตื่น สว่าง เบิกบาน สบาย
เพราะอยู่กับพุทโธ บางครั้งโยมบอกฉันไม่จำเป็นต้องท่องพุทโธห
แต่ขอให้อยู่กับองค์ผู้รู้ ถ้าจิตยังไม่ถึงผู้รู้ที่แท้จริง ก็ต้องนึกเอาพุทโธนำ ขึ้นไปไว้ในใจของเรา ทำไปเรื่อยๆ
พวกเราเป็นบุคคลที่ตื่นอยู่แล้ว ภาวนา ฟังเทศน์ทุกวัน แต่อยากเตือนไว้ว่า สิ่งผิดปกติก็เกิดกับผู้ที่ฝึกสมาธินี่แหล
เพราะจิตมันลึกซึ้งมาก พระเสียไป20เปอร์เซ็นต์จากจุดตรงนี้ ไม่ว่าธรรมยุต หรือมหานิกาย
ญาติโยมก็เหมือนกันภาวนา ดีมาก เกิดพลิกผันจากการภาวนาไปเป็นความรักขึ้นม
เพราะกำลังเดินทางดี ยิ่งเดินทางดีเท่าไหร่ ยิ่งปรากฏมาก ยิ่งตามล่ามาก มันพยายามก่อกวนขึ้นมา ตั้งแต่ปู่ย่าตาทวด มันจะผุดขึ้นมา ทำให้เกิดความหวั่นไหว
ถ้าเราไม่หวั่นไหว เกิดขึ้นมาเราก็ปล่อยไป
เราก็ทำตามคำแนะนำของหลวงปู่ดูลย์ไว้ว่า เห็นน่ะเห็นจริง แต่ไม่จริง เอาแค่นี้
เพราะเราต้องการชำระความสกปรก วิบากกรรมให้หมดไปเพื่อไปนิพพาน
โยมเคยทำอะไรมากี่หมื่นชาติ สิ่งนั้นก็ตามล่ามาเป็นระลอกๆ ไม่ต้องกลัว ขอให้ตามมา เราก็ใช้ขันติบารมี ให้อดทนเท่านั้นที่จะชนะสิ่งทั้งปวง ต้องอดทนเพื่อชนะอารมณ์ที่ปรากฏในจิตของเร
โยมบอกว่าทำไมภาวนามีแต่วุ่นวาย ภาวนาไปทำไมมีแต่คนไม่ชอบหน้า อย่าไปเสียใจ
พระพุทธเจ้าท่านก็มีมารไม่ชอบหน้าอย่างเช่
เกิดความโกรธ โกรธก็ไม่ดี เกลียดก็ไม่ดี มีสมบัติมาก โลภก็ไม่ดี มีมารอย่างนี้คอยเป็นครูสอนตลอด เป็นคุณ แต่ถ้าเราตั้งคุณไว้ไม่ถูกก็เป็นโทษเหมือน
เพราะฉะนั้นจะฝากโยมไว้ว่าขอให้ยึดมั่นคำส
ตัวนี้ทำให้เราไม่หวั่นไหว ที่พูดเมื่อกี้นี้วิบากกรรมต่างๆ ที่เกิดขึ้น กรรมนี้ใครทำก็รับกรรมไป ถือเป็นเรื่องปกติ
พระพุทธองค์ท่านก็มีกรรมมาก พระเทวทัตกลั่นแกล้งต่างๆ นานา แล้วเราเป็นพุทธบริษัทของพระองค์ เราจะเหนือไปกว่าท่านได้อย่างไร เราต้องยอมรับ ขอให้มันมาเถอะ
มาเร็วยิ่งดี เพราะตอนนี้สติปัญญาดี ต้องอธิษฐานว่ายิ่งมาเร็วๆ เท่าไหร่ยิ่งดี ถ้าสติปัญญาไม่ดีมันมาเมื่อไหร่ละหลงทางเล
**ทีมา---Veera เหลืองชมพูเหนือหัวชาวไทย/fb.com