เมื่อ ประทับแล้วจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อให้เลือดและเนื้อเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จากนั้นจึงทรงบำเพ็ญจิตภาวนา เมื่อจิตหยั่งลงสู่ฌานขั้นต่างๆ แล้ว ในยามสุดท้ายก็ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า
คำถามของเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทำไมต้องเป็นหญ้าคา ทำไมต้องเป็น 8 กำ
นี่ คือปริศนาทางธรรมที่ถ้าไม่ลองถอดรหัส เรื่องราวตรงนี้ก็จะผ่านไปโดยไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากลองถอดรหัสดูก็จะพบว่ามีเพชรพลอยแห่งปัญญาซ
ในทัศนะของผู้เขียน หญ้าคา 8 กำ ย่อมหมายถึงโลกธรรม 8
โลกธรรม แปลว่า หลักธรรมอันเป็นธรรมดาสำหรับชาวโลก หมายความว่า ชาวโลกทุกคนจะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง 8 ประการนี้แน่นอน ไม่เร็วก็ช้า ถ้าพบกับโลกธรรมแล้วมีปัญญารู้เท่าทันก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันก็อาจทุกข์ปางตาย อาการทุกข์ปางตายเพราะไม่รู้เท่าทันโลกธรรมว่าเป็นเร
หญ้าคาคือโลกธรรม 8 กำ หมายถึง คน 8 แฉกที่พร้อมจะบาดมือผู้ถือหญ้าคาโดยขาดสติปัญญาได้ทุ
1.ได้ลาภ คู่กับ 2.เสื่อมลาภ
3.ได้ยศ คู่กับ 4.เสื่อมยศ
5.สรรเสริญ คู่กับ 6.นินทา
7.สุข คู่กับ 8.ทุกข์
ขอ ให้สังเกตให้ดีว่า ในที่นี้ใช้คำว่า "คู่กับ" เมื่อเอ่ยถึงโลกธรรมทั้งสองด้าน เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่าโลกธรรมทั้ง 4 คู่ 8 แฉกนี้ เป็นด้านตรงกันข้าม แท้ที่จริงนั้นไม่ใช่ด้านตรงกันข้ามเลย มันซ่อนอยู่ในกันและกันตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เหมือนหน้ามือกับหลังมือ คมมีดกับสันมีด ความเกิดกับความตาย ต่างแต่ว่าด้านใดจะหันเข้ามาหาเราก่อนเท่านั้น ถ้าเราตระหนักรู้อย่างนี้แล้ว จะได้ระวังระไวไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าโลกธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้
ถ้าเรามีปัญญาหยั่งเห็นว่า
ในลาภ มีเสื่อมลาภ
ในยศ มีเสื่อมยศ
ในสรรเสริญ มีนินทา
ในสุข มีทุกข์
เราก็จะปฏิสัมพันธ์กับโลกธรรมทั้งสองด้าน (ด้านหนึ่งชื่นชม อีกด้านขมขื่น) อย่างคนที่รู้เท่าทัน
ไม่ ต้องรอให้ด้านชื่นชมพลิกเป็นขมขื่นก่อนถึงจะรู้สึกตั
คน ที่ไม่รู้จักโลกธรรมนั้นเป็น คนน่าสงสาร เพราะเมื่อถูกโลกธรรมกระทบ เขาจะตั้งรับไม่ทัน เมื่อตั้งรับไม่ทันก็จะทุกข์ แต่สำหรับคนที่รับมือทัน พลันที่โลกธรรมกระทบ ธรรมก็กระเทือน หรือยิ่งถูกโลกธรรมกระทบยิ่งมีปัญญาเพิ่มขึ้น เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งฉ่ำหวาน ส่วนคนที่ไม่มีทักษะในการรับมือกับโลกธรรม เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้วก็เหมือนแก้วที่ตกลงสู่
ดา ราฮอลลีวูดหลายคนที่ ประสบความสำเร็จแต่อายุยังน้อย เช่น บริตนีย์ สเปียร์ส เป็นต้น ยังไม่ทันรู้จักโลกธรรม ยังไม่เข้าใจว่าชีวิตมีขึ้น (ด้วยโลกธรรมฝ่ายชื่นชม) และชีวิตมีลง (ด้วยโลกธรรมฝ่ายขมขื่น) เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้ว ก็ลอยฟุ้งขึ้นไปในนภากาศเหมือนว่าวที่หลุดลอยออกไปจา
โลกธรรม นั้นโดยตัวมันเองไม่มีพิษสงอะไรมาก แต่สำหรับคนที่รู้ไม่เท่าทันแล้วกลับเป็นอันตรายที่น
มอง อีกมุมหนึ่งสำหรับคนที่รู้ทันโลกธรรม พอตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของโลกธรรมก็ยังยิ้มได้ แต่คนที่รู้ไม่ทัน ครั้นตกอยู่ท่ามกลางโลกธรรมแล้วก็มักจะถูกโลกกระทำ และทั้งๆ ที่ถูกโลกธรรมกระทำเข้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก อาจจะลุกลามบานปลายกลายเป็นถูกโลกกระทืบจนแทบวางวายท
เรา ทุกคน หนีโลกธรรมกันไม่พ้นอยู่แล้วในชีวิตนี้ ไม่เร็วก็ช้า โลกธรรมจะมาถึงตัวเราอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็หวังว่าโลกธรรมจะไม่กลายเป็นโลกกระทำหรือไม่ล่วงล้
โลกธรรมจะกระทำ หรือจะกระทืบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักโลกธรรมลึกซึ้งหรือตื้นเขิ
ที่มา:board.palungjit.com
No comments:
Post a Comment