3.4.11

ปริศนาแห่งหญ้าคา 8 กำ



ในวันที่จะตรัสรู้ พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณนั้น ระหว่างทางเสด็จไปยังโคนอัสสัตถพฤกษ์ (ต่อมาหลังจากตรัสรู้แล้วจึงได้ชื่อว่า "ต้นโพธิ์") ทรงพบกับพราหมณ์ชื่อโสตถิยะ พราหมณ์คนนี้เพิ่งกลับจากการเกี่ยวหญ้ามาพอดี พอพบพระโพธิสัตว์ก็เกิดความประทับใจในบุคลิกภาพ จึงน้อมถวายหญ้าคา "8 กำ" พระโพธิสัตว์รับแล้วทรงนำหญ้าคานั้นมาปูเป็นอาสนะรอง
นั่งที่โคนต้นอัสสัตถะ

เมื่อ ประทับแล้วจึงทรงตั้งสัตยาธิษฐานว่า หากไม่ได้ตรัสรู้พระอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ ต่อให้เลือดและเนื้อเหือดแห้งไป เหลือแต่หนัง เอ็น กระดูกก็ตามที ก็จะไม่ยอมลุกจากบัลลังก์นี้เป็นอันขาด จากนั้นจึงทรงบำเพ็ญจิตภาวนา เมื่อจิตหยั่งลงสู่ฌานขั้นต่างๆ แล้ว ในยามสุดท้ายก็ทรงบรรลุอาสวักขยญาณ สำเร็จเป็นพระอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า

คำถามของเหตุการณ์ในตอนนี้ก็คือ ทำไมต้องเป็นหญ้าคา ทำไมต้องเป็น 8 กำ

นี่ คือปริศนาทางธรรมที่ถ้าไม่ลองถอดรหัส เรื่องราวตรงนี้ก็จะผ่านไปโดยไม่มีความหมายอะไรเลย แต่ถ้าหากลองถอดรหัสดูก็จะพบว่ามีเพชรพลอยแห่งปัญญาซ่อนอยู่ในเหตุการณ์นี้ อย่างมีนัยสำคัญทีเดียว

ในทัศนะของผู้เขียน หญ้าคา 8 กำ ย่อมหมายถึงโลกธรรม 8

โลกธรรม แปลว่า หลักธรรมอันเป็นธรรมดาสำหรับชาวโลก หมายความว่า ชาวโลกทุกคนจะต้องพบกับโลกธรรมทั้ง 8 ประการนี้แน่นอน ไม่เร็วก็ช้า ถ้าพบกับโลกธรรมแล้วมีปัญญารู้เท่าทันก็จะไม่ทุกข์ แต่ถ้าไม่รู้เท่าทันก็อาจทุกข์ปางตาย อาการทุกข์ปางตายเพราะไม่รู้เท่าทันโลกธรรมว่าเป็นเรื่อง แสนธรรมดานี่เอง คือความหมายอันลึกล้ำของหญ้าคา เพราะหญ้าคาเป็น "ของมีคม" หากจับไม่เป็น ไม่รู้วิธีจับ จะถูกบาดมือจนเลือดไหลซิบๆ หรือกล่าวอีกอย่างหนึ่งว่า หากไม่รู้จักวิธีจับหญ้าคาก็จะต้องเลือดตกยางออกกันเลยทีเดียว แต่ถ้ารู้วิธีจับหญ้าคาเป็นอย่างดีแล้ว หญ้าคาที่ว่ามีคมนี้แหละจะไม่ทำให้ใครต้องเสียเลือดเลยแม้แต่น้อย

หญ้าคาคือโลกธรรม 8 กำ หมายถึง คน 8 แฉกที่พร้อมจะบาดมือผู้ถือหญ้าคาโดยขาดสติปัญญาได้ทุกเมื่อ คมทั้ง 8 แฉกนั้น ประกอบด้วย

1.ได้ลาภ คู่กับ 2.เสื่อมลาภ
3.ได้ยศ คู่กับ 4.เสื่อมยศ
5.สรรเสริญ คู่กับ 6.นินทา
7.สุข คู่กับ 8.ทุกข์

ขอ ให้สังเกตให้ดีว่า ในที่นี้ใช้คำว่า "คู่กับ" เมื่อเอ่ยถึงโลกธรรมทั้งสองด้าน เพราะหลายคนมักเข้าใจผิดว่าโลกธรรมทั้ง 4 คู่ 8 แฉกนี้ เป็นด้านตรงกันข้าม แท้ที่จริงนั้นไม่ใช่ด้านตรงกันข้ามเลย มันซ่อนอยู่ในกันและกันตั้งแต่แรกเลยด้วยซ้ำ เหมือนหน้ามือกับหลังมือ คมมีดกับสันมีด ความเกิดกับความตาย ต่างแต่ว่าด้านใดจะหันเข้ามาหาเราก่อนเท่านั้น ถ้าเราตระหนักรู้อย่างนี้แล้ว จะได้ระวังระไวไว้แต่เนิ่นๆ ตั้งแต่เริ่มรู้ตัวว่าโลกธรรมเรื่องใดเรื่องหนึ่งได้มาเยือนชีวิตตนเองแล้ว

ถ้าเรามีปัญญาหยั่งเห็นว่า
ในลาภ มีเสื่อมลาภ
ในยศ มีเสื่อมยศ
ในสรรเสริญ มีนินทา
ในสุข มีทุกข์

เราก็จะปฏิสัมพันธ์กับโลกธรรมทั้งสองด้าน (ด้านหนึ่งชื่นชม อีกด้านขมขื่น) อย่างคนที่รู้เท่าทัน

ไม่ ต้องรอให้ด้านชื่นชมพลิกเป็นขมขื่นก่อนถึงจะรู้สึกตัว แต่เรารู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลาที่โลกธรรมด้านใดด้านหนึ่งแวะมาเยือนชีวิตของ เราตั้งแต่ต้นมือแล้ว หากมีปัญญาพิจารณาเห็นอาการทั้งสองด้านของโลกธรรมอย่างใด อย่างหนึ่งว่าล้วน แล้วแต่ดำรงอยู่ในกันและกันอย่างนี้แล้ว เมื่อโลกธรรมเกิดขึ้น ไม่ว่าด้านชื่นชมหรือขมขื่น เราก็จะยินดีน้อมรับโลกธรรมนั้นๆ ด้วยท่าทีที่สงบ ไม่เป็นทุกข์ ไม่ตีโพยตีพาย ไม่ฟูฟ่องจนหลงเหลิง ไม่เสียใจจนเสียสติ เราจะเห็นอย่างลึกซึ้งว่า โลกธรรมทั้งสองด้านล้วนมีราคาเท่ากัน

คน ที่ไม่รู้จักโลกธรรมนั้นเป็น คนน่าสงสาร เพราะเมื่อถูกโลกธรรมกระทบ เขาจะตั้งรับไม่ทัน เมื่อตั้งรับไม่ทันก็จะทุกข์ แต่สำหรับคนที่รับมือทัน พลันที่โลกธรรมกระทบ ธรรมก็กระเทือน หรือยิ่งถูกโลกธรรมกระทบยิ่งมีปัญญาเพิ่มขึ้น เหมือนกระท้อนที่ยิ่งทุบก็ยิ่งฉ่ำหวาน ส่วนคนที่ไม่มีทักษะในการรับมือกับโลกธรรม เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้วก็เหมือนแก้วที่ตกลงสู่พื้น คือแตกออกเป็นเสี่ยงๆ ชีวิตสูญเสียปกติภาพหรือแตกออกเป็นชิ้นๆ บางคนหนักหนาถึงขั้นชีวิตต้องแตกดับไปก็เคยมี

ดา ราฮอลลีวูดหลายคนที่ ประสบความสำเร็จแต่อายุยังน้อย เช่น บริตนีย์ สเปียร์ส เป็นต้น ยังไม่ทันรู้จักโลกธรรม ยังไม่เข้าใจว่าชีวิตมีขึ้น (ด้วยโลกธรรมฝ่ายชื่นชม) และชีวิตมีลง (ด้วยโลกธรรมฝ่ายขมขื่น) เมื่อถูกโลกธรรมกระทบเข้าแล้ว ก็ลอยฟุ้งขึ้นไปในนภากาศเหมือนว่าวที่หลุดลอยออกไปจากสายป่าน หรือเหมือนเรือไททานิคที่เกิดความเชื่อมั่นว่าถึงอย่างไร ก็ไม่มีทางจม แต่พอสายป่านขาด (ไม่ดังเท่าเดิม) หรือเรือไททานิคแห่งชื่อเสียงอับปางลง (เลิกกับสามี-ขายแผ่นเสียงได้น้อย-ภาพยนตร์ที่เล่นไม่เปรี้ยง) ชีวิตจึงเข้าสู่ความวุ่นวายอยู่นานหลายปี กว่าจะกลับมาตั้งตัวใหม่ได้อีกก็บอบช้ำแทบเสียผู้เสียคน

โลกธรรม นั้นโดยตัวมันเองไม่มีพิษสงอะไรมาก แต่สำหรับคนที่รู้ไม่เท่าทันแล้วกลับเป็นอันตรายที่น่าสะพรึง กลัวเป็นอย่าง ยิ่ง เพราะโลกธรรมด้านชื่นชมนั้นมักทำให้คน "เมา" ได้ง่ายๆ ส่วนโลกธรรมด้านลบก็มักทำให้คน "ม้วย" ได้ง่ายๆ เช่นเดียวกัน

มอง อีกมุมหนึ่งสำหรับคนที่รู้ทันโลกธรรม พอตกอยู่ท่ามกลางวงล้อมของโลกธรรมก็ยังยิ้มได้ แต่คนที่รู้ไม่ทัน ครั้นตกอยู่ท่ามกลางโลกธรรมแล้วก็มักจะถูกโลกกระทำ และทั้งๆ ที่ถูกโลกธรรมกระทำเข้าแล้วก็ยังไม่รู้สึกตัวอีก อาจจะลุกลามบานปลายกลายเป็นถูกโลกกระทืบจนแทบวางวายทำลายขันธ์
เรา ทุกคน หนีโลกธรรมกันไม่พ้นอยู่แล้วในชีวิตนี้ ไม่เร็วก็ช้า โลกธรรมจะมาถึงตัวเราอย่างแน่นอน เมื่อเวลานั้นมาถึง ก็หวังว่าโลกธรรมจะไม่กลายเป็นโลกกระทำหรือไม่ล่วงล้ำไปจนกลายเป็นโลกกระทืบ

โลกธรรมจะกระทำ หรือจะกระทืบ ก็ขึ้นอยู่กับว่าเรารู้จักโลกธรรมลึกซึ้งหรือตื้นเขินเพียงใด
 
 
ที่มา:board.palungjit.com

No comments:

Post a Comment

อย่าเสียเวลา