3.6.11

ความสงบ



ในสมัยพระพุทธเจ้าท่านออกบวช ท่านก็เป็นคนหนุ่ม
ไปเรียนกับครูสององค์คือ อุททกะ อาฬาระ ครูทั้งสองสอน
เรื่องความสงบ คือการเข้าฌานเสวยเวทนา อันประณีต
ละเอียดอ่อนเป็นชั้น ๆ เมื่อพระพุทธเจ้าทำได้เทียมเท่า
กับครูของท่านแล้ว 


เนื่องจากท่านเป็นผู้มีปฏิภาณดี ท่านจับได้ว่านี้เป็นเรื่องชั่วคราว
เป็นการสะกดดวงจิตให้ดื่มด่ำกับเพทนาเท่านั้น ไม่ใช่ความหลุด
พ้น ดังนั้นท่านก็เลยบอกเลิก แต่เนื่องจากท่านเป็นคนสุภาพอ่อน
โยน ท่านไม่ค้านอาจารย์ของท่าน แต่ท่านก็เฉลียวใจว่านี่ไม่ใช่
ทางออก จึงอำลาครูทั้งสองไป 
 ต่อมาภายหลังที่ใต้ต้นโพธิ์นั้น ท่านเจริญสติ
เมื่อท่านถึงที่สุดแห่งทุกข์แล้ว ท่านก็นึกถึงครูของท่านว่า
ครูทั้งสองนั้น เข้าใจพลาดอยู่ และเป็นจุดพลาดที่สำคัญมาก

ปัจจุบันนี้ในประเทศนี้ วิถีทางของอุททกะ และอาฬาระ
ครอบงำแพร่หลายไปทั่วทั้งประเทศ
พอเราจะเริ่มนั่งสมาธิก็เริ่มหลับตา
แล้วสะกดดวงจิตปิดกั้นไม่ให้รับรู้อารมณ์ที่ไม่ต้องการ
แท้ที่จริงเป็นเพียงอุบายวิธีระงับจิตเท่านั้น
แต่มักจะถูกเห็นเป็นทางแห่งวิปัสสนา


ในอริยมรรคมีองค์แปดนั้น สัมมาสติมาก่อนสัมมาสมาธิ
สัมมาสติ สัมมาสมาธิ แล้วก็ สัมมาวิมุตติ
ถ้าใครก็ตามเริ่มต้นด้วยการสะกดจิตทำสมาธิ
จะมีบทภาวนาสัมมมาอรหัง พุทโธ


อะไรก็สุดแท้ จิตก็สงบเท่ากัน
ถ้อยคำศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้นอาจช่วยให้จิตสงบ
เพราะอำนาจของการสะกดบังคับจิตปิดกั้นจิตไว้
ท่านว่าเหมือนเอาศิลาทับหญ้า เอาหินทับหญ้า ๆ ก็งอก
ไม่ได้ แต่พอเอาหินออก หญ้ามันได้โอกาสขึ้นใหญ่เลย

ดังนั้น ผู้มุ่งสงบอย่างนี้ พอนานวันเข้ากลายเป็นคนมี
กิเลสหนาโดยไม่รู้สึกตัว เช่นขี้ยัวะมากขึ้น ได้ยินเสียง
รบกวนนิดก็โกรธแทนที่จะทุเลาเบาบางลง ทำให้เกลียด
ผู้อื่น แบ่งแยก โหดร้ายและรุนแรง เป็นมาเฟียทางศาสนา
โดยไม่รู้สึกตัว ส่วนการเจริญสติเนื่องจากรู้ตัวดี ตื่นตาตื่นใจ
เป็นอุเบกขาแห่งจิตไม่ใช่อุเบกขาแห่งเวทนา

การนั่งสะกดตัวเองนั้น ไม่รู้แต่มันสงบ ความสงบเกินก็
ไม่มี มันก็ได้แค่ความสงบ เพราะไม่รู้อะไร ไม่เกิดปัญญา
ใด ๆ ไม่เห็น รูป เห็น นาม อนิจจัง ทุกขัง ก็ไม่รู้จัก

เมื่อเราเจริญสติภาวนา เรามีความรู้สึกตัว
ความรู้สึกตัวมันซ่อนแฝงอยู่ในตัวเรา
เช่น เรากำมือ พอเคลื่อนที่มันรู้สึกวูบ
เวลาเดินจงกรมนั้นคือเราแกว่งตัว
ซึ่งมีผลสูงกว่าการนั่ง

การนั่งนิ่งหลับตาสะกดจิตตนเป็นการฝืนธรรมชาติ
ในขณะที่จักรวาล โลกทั้งหมดกำลังเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลง
เคลื่อนไหวอย่างต่อเนื่อง ทุกสิ่งทุกอย่างกำลังเคลื่อนไหวอยู่
เอกภพทั้งหมดกำลังเคลื่อนตัวอยู่ในห้วงอวกาศอันหาประ
มาณ
มิได้ หัวใจของมนุษย์เต้นอยู่ตลอดเวลา ลมก็พัด นกก็ร้อง 
การนั่งนิ่งดิ่งด่ำเข้าไปในความนั่งสงบลึกเข้าไป
ที่สุดของมันก็ไม่ใช่ที่สุดแห่งทุกข์ แต่เป็นความสุขที่สุด
ท่านจึงเรียกว่า พรหมโลก หากแต่ยังติดยึดอยู่ในภาวะ
ผู้ที่ติดอยู่ในความสงบนี้จะเต็มไปด้วยความสุข
แต่ไร้ปัญญาไม่รู้เห็น อริยสัจจ์ตามเป็นจริง 
พวกเราแสวงหาความสงบอีกแบบหนึ่ง
เพราะรู้ตัวดีก็สงบอยู่ รู้ตัวอยู่ก็เลยสงบ
อย่างนี้เรียกว่าสงบที่พรั่งพร้อมไปด้วยปัญญา
พร้อมเสมอที่จะเกื้อกูลเคลื่อนไหว ทำกิจการงาน

ที่มา--ก้อย ปภาวี

คนมีธรรม