ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโลกธ รรม ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก ให้วางมันเสีย กรรมของเราที่มีความโง่เกิด มาในโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้ อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กายอย่าให้มันเข้าไปถึงใจ ความสุขความทุกข์ในโลกอย่าส นใจ สนใจอย่างเดียวธรรมะขององค์ สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เ รามีความสุข ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี ้อีกไม่กี่วันมันก็พัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่ านปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่าท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้ง หลายร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่า ท่านมีความสุขเราก็พยายามทำ ให้สุขเหมือนท่านบ้าง
ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิตว่าจ ิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความ ดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์ส มเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทร งต้องการ บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน ปฏิป ทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีคว ามชนะในมารฉันใด ขอบรรดาลูกรัก ทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้นด ้วยกำลังใจ ที่ทรงความดี
***อัตตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัว ไว้ เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะ ประณามตัวเอง เข้าไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิ ดหนึ่ง เขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดีถ้าชมว่าสวย ชมว่างามเมื่อ รู้สึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าใจข องเรามันเลวเสียแล้วรึนี่ แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้วแล ้ว ยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคค ลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร ่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลสมันไหลออกม าทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจมันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุ ษย์ใหม่นี่เราต้องประณามอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัต ว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ต ้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรานี่ เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกต ิอย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา
***จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้อ งมาลงโทษเรา ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ กรรมที่เราทำความชั่ว มันก็ทำความเร่าร้อน ให้เกิดขึ้นแก่เรา ใครเขาพูดความชั่วคราวใดเรา ก็สะดุ้งเพราะเรามันเลว พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทตนกล่าวโทษตนไว้เป็ นปกติ หาความชั่วของตัวอย่าไปหาคว ามชั่วของบุคคลอื่น ถ้าเลวมากเมื่อไหร่เราก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น ถ้าเราดีมากเท่าไหร่ เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบ ุคคลอื่น เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม ที่เรายังไปหาความเลวของบุค คลอื่น เสียดสีเขาบ้าง พูดกระทบกระเทียบเขาบ้าง ทำลายความสุขใจเขาบ้าง นั่นแสดงว่าเรามันเลวที่สุด ของความเลว คือความเลวมันไม่ได้ขังอยู่ เฉพาะในใจมันไหลออกมาทางกาย ไหลออกมาทางวาจา เพราะมันล้นเลวจนล้น นี่ขอ ทุกท่านจงจำไว้ อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่ น มองดูความเลวของตน ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่ส ุด
***เราถ้ายังรู้สึกว่าคนอื่ นเขาชั่วก็แสดงว่าเราชั่วมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราดีแล้วไม่มีใ ครชั่ว เพราะว่าเรายอมรับนับถือกฎข องกรรมอะไรจะมีชั่วเรายังนิ นทาว่าร้ายบุคคลอื่นนั่นเรายังชั่วอยู่อาการอย่างนี้จงลืมเสียให้หมด
***สำหรับคนที่เขามาสร้างคว ามชั่วให้สะเทือนใจเรา นั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม ไม่มีทางที่จะคืนตัวได้ เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไ ม่ใช่คน เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราคิดว่าถ้าเราจะไปต่อล้อต ่อเถียง จะกระทำตอบเราก็จะเลวตามเขา เวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปใน นรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้างเราก็ จะจมนรกเหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์ จิต เราก็ระงับความโกรธด้วยอำนา จขันติหรืออุเบกขา เฉย เขาเลวก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต ่ผู้ เดียว เรา ไม่ยอมเลวด้วย
***อีกอันหนึ่ง ต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ใ นจุดสงบ หมายความว่าเรา เพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดี ยว ตามพระบาลีว่า อัตตนาโจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอว ่า คำสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว ่าอย่างไรให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหนไม่ให้เราทำ อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งค รัดไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารม ณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน ชาวบ้านไม่ใช่ พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงเขาต้องเ ป็นพระพุทธเจ้า ที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหัก ล้างคำ สอนของพระพุทธเจ้า นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติต ามไม่ได้ ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มี มรรค ผลใด ๆ ตาม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะคัดค้านคำสอนของพระพุท ธองค์เสียแล้ว
***ก่อนที่จะทำก่อนจะพูดน่ะ ใคร่ครวญเสียก่อน อย่าไปคิดเห็นบุคคลอื่นว่าเ ขาเลว เราเห็นคน อื่นเลว นี่ก็ กลายเป็นการสร้างความเลวให้ เกิดขึ้นแก่ใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเ จ้าสอนให้กล่าวโทษโจท ความผิดตัวเองว่ามันเลวไว้เ สมอ หาจุดความเลวของกาย หาจุดความเลวของวาจา หาจุดความเลวของใจ อย่าไปหาจุดของความดี ถ้าพบจุดความเลวจุดไหน ทำลายความเลวจุดนั้นให้หมดไ ป แล้วความดีมันก็ปรากฏเอง
***อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย อย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่าก ฎ ของกรรม จงนึกถึงความตายทุกลมหายใจเ ข้าออก อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศศักด ิ์ ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี ทำใจสบายจะมีความสุข เรื่องลูก ก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ในฐานะ พ่อแม่ที่ดี แต่อย่า ดิ้นรนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพานให้ไกลออ กไป
***เรื่องลูกจงรักเมื่อเรามีลมปราณทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูร ณ์และ คิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย เขาต้องตาย มีอะไรที่เราจะเป็นทุกข์เพื ่อเขา เมื่อเราหรือเขาตาย หัดวางหัดคิดหัดยับยั้งใจ ค่อยคิดค่อยทำค่อย ๆ อบรมตัวเอง อย่าหวังวาจาของคนอื่นอบรม ทำอย่างนั้นเอาตัวไม่รอด ต้องคอยจับผิด ตัวเอง คอย ลงโทษตัวเอง คอย เป็นโจทก์ฟ้องตัวเอง เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็น ตุลาการ จงถือธรรมเป็นสำคัญ อย่าถือคน ถ้ายังติดคนก็จะไม่ถึงธรรมถ ้าถึงธรรมก็พ้น จากการติดคน ถ้าติดคน ติดยศของคน ติดฐานะของคน ติด ศักดิ์ศรีของคน ไม่มีอะไรดี เราก็ไม่เข้าถึงธรรม ทุกอย่างที่ทำไปควรปรารภธรร ม อย่าเห็นแก่คน เรื่องการต้อนรับก็มุ่งเอาธ รรมเป็นสำคัญทำไปด้วย ใคร่ครวญพิจารณาไปด้วย จงเข้าใจว่าทุกอย่างที่ทำไป เป็น เรื่องของชาวโลก แต่ก็เป็นธรรมคือ การทรงตัวของชาวโลก ถ้าเรายังเกิด เราก็ต้องทุกข์อย่างนี้ อะไรทำให้ทุกข์ เพราะความอยากทำให้ทุกข์ ถ้าเราไม่อยากเราก็ไม่ทุกข์ ที่เราทุกข์ก็เพราะชาติก่อน เราไม่หมดอยาก และชาตินี้เราก็ยังอยากเมื่ อไรความอยากสิ้นไปเมื่อนั้น ก็ถึงนิพพาน
***จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้อ
***เราถ้ายังรู้สึกว่าคนอื่
***สำหรับคนที่เขามาสร้างคว
***อีกอันหนึ่ง ต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ใ
***ก่อนที่จะทำก่อนจะพูดน่ะ
***อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย อย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่าก
***เรื่องลูกจงรักเมื่อเรามีลมปราณทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูร
ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม๑
ฯ ๗๑ ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ฯ ๗๑ ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
ที่มา--veera เหลืองชมภูเหนือหัวชาวไทย/fb.com
No comments:
Post a Comment