21.6.11

ธรรมะเพื่อการพัฒนาตน...


      ทุกสิ่งทุกอย่างที่เป็นโลกธรรม ให้ถือว่าเป็นธรรมดาของโลก ให้วางมันเสีย กรรมของเราที่มีความโง่เกิดมาในโลกนี้ โลกที่เต็มไปด้วยความเร่าร้อน ความร้อนมันก็ถูกเรา แต่ว่าให้มันถูกแต่กายอย่าให้มันเข้าไปถึงใจ ความสุขความทุกข์ในโลกอย่าสนใจ สนใจอย่างเดียวธรรมะขององค์สมเด็จพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสอนให้เรามีความสุข ร่างกายของเราจะอยู่ในโลกนี้อีกไม่กี่วันมันก็พัง ฉะนั้นในเมื่อพระพุทธเจ้าท่านปรินิพพานไปแล้ว ท่านบอกว่าท่านมีความสุข พระอรหันต์ทั้ง หลายร่างกายของท่านพัง ท่านบอกว่า ท่านมีความสุขเราก็พยายามทำให้สุขเหมือนท่านบ้าง
 
    ข้อสำคัญจงจำไว้ว่า จงอย่าคิดว่าเราดีไว้เสมอ มองดูความบกพร่องของจิตว่าจิตเราบกพร่องตรงไหนบ้าง พยายามแก้ไขให้สู่ระดับความดี อย่างนี้เป็นความดีที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงต้องการ บรรดาลูกรักของพ่อทุกคน ปฏิปทาใดที่องค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า มีความชนะในมารฉันใด ขอบรรดาลูกรักทั้งหลายจงชนะในมารฉันนั้นด้วยกำลังใจ ที่ทรงความดี
 
      ***อัตตนาโจทยัตตานัง จงกล่าวโทษโจทความผิดของตัวไว้ เสมอ อย่าไปยุ่งกับคนอื่น คตินี้นักปฏิบัติทุกคนเขาจะประณามตัวเอง เข้าไว้เสมอ อารมณ์ยุ่งอยู่กับกามราคะนิดหนึ่ง เขาจะประณามว่าเลวทันที ของอะไรก็ดีถ้าชมว่าสวย ชมว่างามเมื่อ รู้สึกขึ้นมาก็รู้สึกว่าใจของเรามันเลวเสียแล้วรึนี่ แค่นี้เขาตำหนิตัวเขาแล้วแล้ว ยิ่งไปเพ่งโทษของบุคคลอื่น ไปแสดงอารมณ์อิจฉาริษยาบุคคลอื่น ทำให้บุคคลอื่นได้รับความเร่าร้อน นั่นแสดงว่ากิเลสมันไหลออกมาทางกายและทางวาจา มันล้นออกมาจากใจมันเลวเกินที่จะเกิดเป็นมนุษย์ใหม่นี่เราต้องประณามอย่างนี้ แล้วทางที่ไปจะไปไหน เป็นสัตว์เดรัจฉานก็ยังเป็นไม่ได้ต้องไปขึ้นต้นมาจากนรก มันไม่เหมาะสำหรับเรานี่ เราต้องประณามตัวไว้เป็นปกติอย่าเที่ยวประณามคนอื่นเขา

      ***จงอย่าคิดว่าคนอื่นจะต้อ
งมาลงโทษเรา ก่อนที่คนอื่นจะลงโทษ กรรมที่เราทำความชั่ว มันก็ทำความเร่าร้อน ให้เกิดขึ้นแก่เรา ใครเขาพูดความชั่วคราวใดเราก็สะดุ้งเพราะเรามันเลว พระพุทธเจ้าตรัสว่า อัตตนา โจทยัตตานัง จงเตือนตนไว้เสมอ และจงโจทตนกล่าวโทษตนไว้เป็นปกติ หาความชั่วของตัวอย่าไปหาความชั่วของบุคคลอื่น ถ้าเลวมากเมื่อไหร่เราก็เพ่งเล็งความเลวของบุคคลอื่นมากเท่านั้น ถ้าเราดีมากเท่าไหร่ เราก็ไม่มองเห็นความเลวของบุคคลอื่น เพราะยอมรับนับถือกฎของกรรม ที่เรายังไปหาความเลวของบุคคลอื่น เสียดสีเขาบ้าง พูดกระทบกระเทียบเขาบ้าง ทำลายความสุขใจเขาบ้าง นั่นแสดงว่าเรามันเลวที่สุดของความเลว คือความเลวมันไม่ได้ขังอยู่ เฉพาะในใจมันไหลออกมาทางกาย ไหลออกมาทางวาจา เพราะมันล้นเลวจนล้น นี่ขอ ทุกท่านจงจำไว้ อย่าไปมองดูความเลวของคนอื่น มองดูความเลวของตน ไม่ต้องไปปรับปรุงบุคคลอื่น ปรับปรุงเราเองให้มันดีที่สุด

   ***เราถ้ายังรู้สึกว่าคนอื่
นเขาชั่วก็แสดงว่าเราชั่วมาก ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะว่าถ้าเราดีแล้วไม่มีใครชั่ว เพราะว่าเรายอมรับนับถือกฎของกรรมอะไรจะมีชั่วเรายังนินทาว่าร้ายบุคคลอื่นนั่นเรายังชั่วอยู่อาการอย่างนี้จงลืมเสียให้หมด

   ***สำหรับคนที่เขามาสร้างคว
ามชั่วให้สะเทือนใจเรา นั่นเขาเป็นทาสของกิเลส ตัณหาอุปาทานและอกุศลกรรม ไม่มีทางที่จะคืนตัวได้ เราจงคิดว่าคนประเภทนี้เขาไม่ใช่คน เขาคือสัตว์นรกในอบายภูมินั่นเอง เราคิดว่าถ้าเราจะไปต่อล้อต่อเถียง จะกระทำตอบเราก็จะเลวตามเขา เวลานี้จิตใจของเขาจมลงไปในนรก ถ้าเราทำตามแบบเขาบ้างเราก็จะจมนรกเหมือนกัน มันไม่มีประโยชน์ จิต เราก็ระงับความโกรธด้วยอำนาจขันติหรืออุเบกขา เฉย เขาเลวก็ปล่อยให้เขาเลวไปแต่ผู้ เดียว เรา ไม่ยอมเลวด้วย

    ***อีกอันหนึ่ง ต้องทำใจของเราให้หยุดอยู่ใ
นจุดสงบ หมายความว่าเรา เพ่งเล็งจิตของเราแต่ผู้เดียว ตามพระบาลีว่า อัตตนาโจทยัตตานัง จงเตือนตนด้วยตนเองไว้เสมอว่า คำสอนขององค์สมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนไว้ว่าอย่างไรให้เราปฏิบัติ ห้ามไว้แบบไหนไม่ให้เราทำ อันนี้ต้องปฏิบัติให้เคร่งครัดไม่ใช่จะไปนึกเอาตามอารมณ์ที่ชาวบ้านเขาทำกัน ชาวบ้านไม่ใช่ พระพุทธเจ้า ถ้าคนนั้นเขาดีจริงเขาต้องเป็นพระพุทธเจ้า ที่เขาสร้างแบบแผนขึ้นมาหักล้างคำ สอนของพระพุทธเจ้า นี่เราเป็นพุทธสาวกปฏิบัติตามไม่ได้ ถ้าขืนปฏิบัติตามเราก็ไม่มีมรรค ผลใด ๆ ตาม ที่พระพุทธเจ้าทรงสอน เพราะคัดค้านคำสอนของพระพุทธองค์เสียแล้ว


   ***ก่อนที่จะทำก่อนจะพูดน่ะ
ใคร่ครวญเสียก่อน อย่าไปคิดเห็นบุคคลอื่นว่าเขาเลว เราเห็นคน อื่นเลว นี่ก็ กลายเป็นการสร้างความเลวให้เกิดขึ้นแก่ใจของเรา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนให้กล่าวโทษโจท ความผิดตัวเองว่ามันเลวไว้เสมอ หาจุดความเลวของกาย หาจุดความเลวของวาจา หาจุดความเลวของใจ อย่าไปหาจุดของความดี ถ้าพบจุดความเลวจุดไหน ทำลายความเลวจุดนั้นให้หมดไป แล้วความดีมันก็ปรากฏเอง

    ***อย่าทำอารมณ์ให้วุ่นวาย อย่าใจน้อย อย่าคิดมาก จงคิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย อย่าห่วงคนอื่นมากเกินกว่าก
ฎ ของกรรม จงนึกถึงความตายทุกลมหายใจเข้าออก อย่าทะเยอทะยานเรื่องยศศักดิ์ ถึงเวลามันได้ ถึงเวลามันมี ทำใจสบายจะมีความสุข เรื่องลูก ก็ขอให้ตั้งอารมณ์ไว้ในฐานะพ่อแม่ที่ดี แต่อย่า ดิ้นรนเกินพอดี จะเป็นทางตัดนิพพานให้ไกลออกไป

  ***เรื่องลูกจงรักเมื่อเรามีลมปราณทำหน้าที่ของพ่อแม่ให้สมบูร
ณ์และ คิดไว้เสมอว่า เราต้องตาย เขาต้องตาย มีอะไรที่เราจะเป็นทุกข์เพื่อเขา เมื่อเราหรือเขาตาย หัดวางหัดคิดหัดยับยั้งใจ ค่อยคิดค่อยทำค่อย ๆ อบรมตัวเอง อย่าหวังวาจาของคนอื่นอบรม ทำอย่างนั้นเอาตัวไม่รอด ต้องคอยจับผิด ตัวเอง คอย ลงโทษตัวเอง คอย เป็นโจทก์ฟ้องตัวเอง เอาธรรมะของพระพุทธเจ้าเป็นตุลาการ จงถือธรรมเป็นสำคัญ อย่าถือคน ถ้ายังติดคนก็จะไม่ถึงธรรมถ้าถึงธรรมก็พ้น จากการติดคน ถ้าติดคน ติดยศของคน ติดฐานะของคน ติด ศักดิ์ศรีของคน ไม่มีอะไรดี เราก็ไม่เข้าถึงธรรม ทุกอย่างที่ทำไปควรปรารภธรรม อย่าเห็นแก่คน เรื่องการต้อนรับก็มุ่งเอาธรรมเป็นสำคัญทำไปด้วย ใคร่ครวญพิจารณาไปด้วย จงเข้าใจว่าทุกอย่างที่ทำไปเป็น เรื่องของชาวโลก แต่ก็เป็นธรรมคือ การทรงตัวของชาวโลก ถ้าเรายังเกิด เราก็ต้องทุกข์อย่างนี้ อะไรทำให้ทุกข์ เพราะความอยากทำให้ทุกข์ ถ้าเราไม่อยากเราก็ไม่ทุกข์ ที่เราทุกข์ก็เพราะชาติก่อนเราไม่หมดอยาก และชาตินี้เราก็ยังอยากเมื่อไรความอยากสิ้นไปเมื่อนั้นก็ถึงนิพพาน
 
ที่มา: โอวาทหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่ม๑
ฯ ๗๑ ตอบพร้อมอ้างอิงข้อความเดิม
 
ที่มา--veera เหลืองชมภูเหนือหัวชาวไทย/fb.com

No comments:

Post a Comment

คนมีธรรม