เราจะละความหลับ ตื่นจากหล้ับเสีย, รู้จักของอร่อยที่ควรอร่อย, คำนี้มันหยาบคายนะ แต่จำเป็นมัีนต้องพูด : ''อร่อยของกิเลสน่ะ'' เลิกเสียเถอะ เอาอร่อยของธรรมะกันเสียบ้างเถิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า สพพรส ธมมรโส ชินาติ - รสแห่งธรรมชำนะรสทั้งปวง, เดี๋ยวนี้เป็นแมลงวันนี่ มันก็ชอบรสของเหม็นของเน่า, มัีนไม่เ็ป็นแมลงผึ้ง, ชอบรสที่ไม่เหม็น ไม่เน่า, หรือว่ามันจะเป็นยิ่งไปกว่าแมลงผึ้ง ชอบรสของความว่าง, แต่อาตมาก็ไม่รู้เหมือนกันว่า มีแมลงอะไรบ้าง ที่มันจะยิ่งไปกว่านั้น ที่ไปชอบรสของความว่าง.
นี่เป็นมนุษย์มันควรจะชอบรสของความว่าง คือรสของธรรมะซึ่งเป็นรสสูงสุด ชนะรสทั้งปวง, อย่าไปชอบรสเพื่อกิเลส รสอร่อยเพื่อกิเลส, แต่ชอบรสอร่อยเพื่อธรรมะ เพื่อจิตที่หายโง่แล้ว ที่ไม่มีกิเลสครอบงำแล้ว รู้จักความสุขที่แท้จริง.
เดี๋ยวนี้พูดกันง่ายๆที่พูดว่า ''ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เงินนะ ถ้าใช้ก็ต้องใช้เงินมากมายแล้ว เป็นความเพลิดเพลินที่หลอกลวง ไม่ใช่ความสุขที่แท้จริง'', เขาก็ยังฟังกันไม่ถูก อาตมาจะพูดอย่างนี้ทุกที ใครมาขอให้พูด พวกมาเที่ยว, แล้วดูหน้าตามันก็ฟังไม่ถูก เห็นได้ว่ามันฟังไม่ถูก, มันยังฟังไม่ถูกว่า ''ความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใข้เงินเลย คือ ทำให้เป็นที่พอใจต้ัวเอง จนยกมือไหว้ต้วเองได้ตลอดไปนั่นน่ะ''
ความสุขทีึ่่แท้จริงไม่ต้องใช้เงิน แล้วเงินมันก็เหลือ เหลือซิ เพราะว่าทำหน้าที่นีี่, ทำหน้าที่ที่ถูกต้องจนพอใจต้วเอง ยกมือไหว้ตัวเอง มีความสุขไปพลางตั้งแต่เมื่อทำ, ไม่ต้องใช้เงินก็ได้ความสุึขแล้ว, ที่นี้่ผลของการงานทีู่่ทำ มันก็เหลืออยู่เป็นเงินเป็นทอง เพราะฉะนั้น เงินมันก็เหลือมากออกมา เพราะว่าความสุขที่แท้จริงไม่ต้องใช้เิงิน แล้วเงินเหลือ, ส่วนความเพลิดเพลินที่หลอกลวงนั้น มันก็ไ่ม่มีรู้จักจบรู้้จักสิ้น เท่าไหร่ก็ไม่พอ, พอมันบ้ามากเข้าเกินไป มัีนก็ต้องคดโกง มันก็ต้องคดโกง มันก็ไปจบอยู่ในคุกในตารางหรือด้วยความตาย, นี่ความเพลิดเพลินที่หลอกลวง เท่านี้ก็ฟังไม่ถูก มันก็ฟังไม่ถูกว่า รสของธรรมะชนะรสทั้งปวง มันก็ฟังไม่ถูก, คนส่วนมากฟังไม่ถูก, แต่เราก็ยังทนพูด, เผื่อว่าจะฟังถูกแ ม้สักคนก็ยังดี พูดตั้งชั่วโมง เหนือยเกือบตาย ฟังถูกสักคนก็ยังดี นี่ก็เรียกว่ายังอุตส่าห์พูด
สรุปความว่า มีชีวิตเป็นธรรมะ มีธรรมะเป็นชีวิต เป็นธรรมชีวี ม่ีแต่ความถูกต้อง จนยกมือไหว้ต้วเองได้ตลอดเวลา มีความสุขทุกอริยบถ มีความว่างทุกอริยบถ, นั่นแหละมันจะรอดได้ ไม่เหลือวิสัีย, เห็นอะไรไม่ประหลาดไม่อัศจรรย์ ล้วนแต่เป็นการเป็นไปตามกฎอิทัปปัีจจยตา.
ไอ้ของทีว่าประหลาดที่สุด มันก็ไม่มีอะไร นอกจากเป็นไปตามกฏอิทัปปัจจยตา เดี๋ยวนี้กำลังบ้าดูดาวหางกันใช่ไหม? ประหลาดทีสุดเลย นั่นมันทำให้โง่ที่สุึด, มัีนก็ของธรรมดาตามกฎอิทัปปัจจยตา, นี่ลงทุนเสียเวลาเสียสิ่งของเสียอะไรเพื่อที่จะดูดาวหางว่าประหลาดที่สุด นั่นมันเรื่องของคนโง่, ถ้าเรื่องของคนที่มีธรรมะน่ะ มันก็ว่า โอ้! มันก็เป็นไปตามกฎอิทัปปัจยตา ดาวดวงใหนจะเป็นอย่างไรๆ ก็เป็นอย่างนั้น แต่เพราะเหตุที่นานๆ จะมากันทีหนึ่ง มันก็เลยดูเป็นของประหลาด นี้มันหลอกลวง.
ไม่ต้องมีอะไรประหลาด หรือน่าอัศจรรย์ เ็ป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตาทั้งนั้น, แต่ถ้าจะม่ีอะไรประหลาดน่ามหัศจรรย์อย่างยิ่งกันบ้าง แล้วก็ขอให้ถือว่าความดับทุกข์ได้นั่นแหละน่าอัศจรรย์ทีสุดเป็นของมหัศจรรย์ที่สุด, พระพุทธเจ้าน่าอัศยจรรย์จริง พระธรรมน่าอัศจรรย์จริง พระสงฆ์น่าอัศจรรย์จริง ที่สวดๆกันอยู่นั่นน่ะขอให้รู้เถิดว่าอัศจรรย์อย่างไร, เดี๋ยวจะเป็นนกขุนทองร้อง, อัศจรรย์อย่างไร? อัศจรรย์มันดับทุกข์ได้นี่, พระพุทธเจ้าก็ดับทุกข์ได้ พระธรรมก็ดับทุกข์ได้ พระสงฆ์ก็ดับทุึกข์ได้จึงน่าอัศจรรย์ ถ้าจะมีอะไรน่าอัศจรรย์กันแล้ว ก็คือความดับทุกข์ได้ ด้ังนั้นการที่จะไปโลกพระจันทร์ ไปเที่ยวที่ไหน ไปอย่างที่เขาแตกตื่นกัีนนักว่ามี... น่าอัศจรรย์ที่สุด, นั่นมันเป็นเรื่องอ้ศจรรย์ของอวิชชา อัศจรรย์ของคนโง่ อ้ศจรรย์ของคนที่ไม่รู้ว่าสิ่งทั้งหลายทั้งปวงเป็นไปตามกฎอิทัปปัจจยตา, เอาล่ะ เป็นอันว่าเราเลิกแตกตื่น เลิกตื่นตูม เลิกบ้าหลง ในสิ่งที่เขาอัีศจรรย์กัีนนัก เสียเวลาไปกี่ชั่วโมงแล้่ว นั่งถ่างตาคอยดูดาวหางเพียงเท่านี้มันก็ไม่รู้นี่, แล้วมันรู้่อะไรได้มากกว่านี้
เอาล่ะ, วันนี้เราพูดกันเรื่องการดับทุกข์ที่มีอยู่ีในต้วการดำรงชีวิต. ความทุกข์ที่มีอยู่ในการดำรงชีวิต เราต้องรู้่จักในลักษณะเป็นใหญ่ ลัีกษณะย่อย ลักษณะปลีกย่อยอะไร อย่างที่ได้พูดมาตั้่งชั่วโมงกว่าแล้วนี้ เพียงรู้จักความทุกข์ที่มีอยู่ในการดำรงชีวิต, แล้วรู้่จักดับทุกข์ชนิดนี้เสีย ก็คือรู้จักควบคุมชีวิตไม่ให้เกิดความทุึกข์ขึ้นมา ในตัวการดำรงชีวิต, อย่าให้การดำรงชีวิตเป็นการแบกของหนัก หิ้วของหนัก ถือของหนักอยู่ตลอดเวลาเลย นั่นแหละจะเป็นพุทธบริษัืื้ท เป็นสาวกของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ผู้รู้เรื่องการดับทุึกข์ ดับทุกข์โดยสิ้นเชิง แล้วก็สอนให้ผู้ิอื่นให้ดับทุกข์ได้ด้วย.
หวังว่าจะเอาไปใคร่ครวญให้ดีที่สุด ให้เข้าใจยิ่งๆขึ้นไป ทุึกคราวๆ ที่มีการบรรยาย, คงจะก้าวหน้าเพียงพอที่จะเอาต้วรอดได้ '' คือจิตจะเอาตัวรอดได้ จะต้องไม่ทนทุึกข์ เป็นจิตที่หลุดพ้นจากความทุกข์ได้ทันแก่เวลา ก่อนแ่ต่ที่จะตาย : ให้ตัวกูมันตาย ใ้ห้ความโง่มันตาย ตายเสียก่อนแต่ที่ร่างกายจะตาย''
ธรรมะท่านพุทธทาส