เมื่อครั้งสมัยก่อน ข้าพเจ้าเดินทางไปภาคเหนือต้องลงพักสถานีปากน้ำโพ เพื่อความสะดวกจึงพักแรมที่สถานีรถไฟ เวลานั้นชั้นบนของสถานีรถไฟเป็นที่พักแรม รู้สึกว่าโรงแรมแห่งนี้ไม่ค่อยจะมีผู้คนมาพักมากนัก เพราะทุกคนเมื่อลงจากรถไฟก็ข้ามไปพักฝั่งเมือง
นอกจากข้าพเจ้าแล้ว ยังมีชายอีกผู้หนึ่งอายุมากกว่าข้าพเจ้า การที่มาพักในโรงแรมเดียวกัน ซึ่งมีเราเพียงสองคนเท่านั้น ซ้ำยังเป็นคนไทยด้วยกัน ไม่มีปัญหาอะไรที่จะไม่หันหน้าเข้ามาสนทนา และทำความรู้จักกันก็ไม่ยากนักแล้วเราก็สนิทสนมกัน ท่าทางของชายผู้นี้เป็นคนดีมีความรู้เป็นคนเปิดเผย คบง่ายเป็นกันเอง ตอนหนึ่งข้าพเจ้าบ่นว่าที่พักมีความสะอาดน้อยกว่าโรงแรมรถไฟทั่วๆ ไป ที่เคยพักมา แล้วเพื่อนร่วมที่พักของข้าพเจ้าบอกว่า
“อย่าไปสนใจอะไรเลยคุณเรื่องที่พัก เมื่อเราออกจากบ้านแล้ว หาความสะดวกความสบายได้ยาก เราพักคืนเดียวเท่านั้น ทนเอาหน่อยอย่าไปนึกอะไร ผมผจญมามากกว่านี้”
แล้วก็เล่าเรื่องผจญต่อเหตุการณ์ต่างๆ ให้ฟัง ให้เวลาผ่านไปอย่างเพลิดเพลิน แต่ข้าพเจ้าสนใจเรื่องหนึ่ง ข้าพเจ้าจึงตัดตอนมาเล่าให้ท่านฟัง
เมื่อรถยนต์โดยสารจอดที่หน้าโรงแรมแห่งหนึ่ง พวกคนโดยสารรีบลง ผมมาในรถโดยสารนั้น ผู้หนึ่งจึงลงมาด้วย เพราะเราต้องเดินทางมาเกือบตลอดวัน ต่างก็ปัดฝุ่นสีแดงที่ติดตามเสื้อผ้าและหน้าแล้ว ผมก็มองดูโรงแรมที่พักเป็นตึกเก่าๆ ปลูกอย่างหนาเทอะทะเอาความแข็งแรงเป็นข้อแรก เอาความสวยงามรองมา คงจะเป็นตึกที่เก่าแก่หลังหนึ่งในจังหวัดนั้น ข้างบนเป็นโรงแรม ข้างล่างเป็นร้านขายอาหารและกาแฟ
ผมเข้าไปนั่งพักแล้วสั่งกาแฟมาถ้วยหนึ่ง มองดูเด็กประจำรถปีนขึ้นไปบนหลังคารถโดยสารเลิกผ้าคลุมออกแก้เอาหีบกระเป๋าเดินทาง ซึ่งผูกไว้กับเหล็กหลังคารถ ยกส่งลงมาข้างล่างแล้วก็เอาไปไว้ในร้านกาแฟ นอกจากผมที่จะพักโรงแรมนี้แล้ว ก็ยังมีชายกลางคนกับภรรยาสาวซึ่งมีอายุอ่อนกว่าสามีประมาณยี่สิบปี ที่จะลงมาพักด้วย ผู้โดยสารพวกอื่นคงจะเป็นชาวเมืองนั้นจึงกลับไปบ้านของตน ผมกำลังนั่งดื่มกาแฟอยู่ ส่วนชายสูงอายุผู้นั้นนั่งคอยภรรยาของเขากำลังเข้าห้องน้ำ ผมจึงถามว่า
“คุณจะพักแรมคืนที่นี่เหมือนกันหรือครับ”
ชายผู้มีอายุตอบว่า “ครับ ผมจะพักแรมคืนอยู่ที่นี่ รุ่งขึ้นก็จะเดินทางต่อไป” ขณะนั้นพอดีภรรยาท่านผู้นั้นก็ออกมาจากห้องน้ำ มานั่งร่วมสนทนาด้วย
ทันใดนั้นก็มีจีนไหหลำคนหนึ่งแต่งกายเสื้อผ้าขาวสะอาดเดินออกมาจากข้างในถามว่า “คุณต้องการห้องพักหรือครับ”
ผมเลยบอกไปว่า “หาห้องพักสะอาดดีๆ ให้พักสองห้องซิเถ้าแก่ ห้องหนึ่งสำหรับท่านผู้นี้กับคุณนาย และผมอยู่คนเดียวห้องหนึ่ง”
เถ้าแก่ผู้นั้นบอกว่า “ห้องยังมีเหลือห้องเดียวครับคุณ นอกนั้นเต็มหมด”
ผมจึงบอกว่า “ทำไมโรงแรมใหญ่ๆ จึงมีเหลือห้องเดียว”
เถ้าแก่บอกว่า “มีหลายห้องแต่มีคนเช่าไว้หมดแล้ว”
ผมจึงถามว่า “เมืองนี้ก็เห็นคนไม่มาก ทำไมห้องพักจึงเต็มหมด”
เถ้าแก่ตอบว่า “คนเช่าไว้ตั้ง ๕ ห้อง มีฝรั่งสอง คนไทยสามคน กลางวันเขาไปทำงานในป่า (สำรวจแร่) กลางคืนถึงกลับมานอนเช้าขึ้นออกไป เขาเช่าไว้ตั้งหลายวันแล้วคิดว่าคงจะอยู่สองอาทิตย์”
ผมจึงบอกว่า “เหลือห้องเดียวก็ให้คุณทั้งสองนี้ก็แล้วกัน”
เถ้าแก่ผู้นั้นถามว่า “แล้วคุณจะไปนอนที่ไหนล่ะ”
ผมจึงบอกว่า "คนเดียวไม่เป็นไร จะไปหาพักโรงแรมอื่นก็ได้”
เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมบอกว่า “เมืองนี้ไม่มีโรงแรมที่ไหนอีกนอกจากที่นี่”
แต่แล้วเถ้าแก่โรงแรมทำเป็นนึก สักครู่ก็ส่งภาษาจีนพูดกับบ๋อย ผมเห็นเจ้าเด็กบ๋อยนั้นสะดุ้ง และเถ้าแก่บอกกับผมว่า ยังมีห้องหนึ่งห้องต้องทำความสะอาด เพราะไม่มีคนเข้าไปพักนานแล้ว ถ้าคุณจะพักก็ขึ้นไปดูได้
ผมบอกว่า “ตกลงไม่ต้องดู จัดการทำความสะอาดก็แล้วกัน”
เถ้าแก่จึงสั่งบ๋อยให้ยกกระเป๋าเดินทางขึ้นไปข้างบน และเอากุญแจไปไขห้องสำหรับผัวเมีย และเอาไปในห้องร้างที่จะให้ผมเข้าไปพักด้วย เมื่อเราขึ้นไปข้างบนมองดูสภาพ ก็เป็นโรงแรมบ้านนอกธรรมดาทั่วๆ ไป สองผัวเมียได้ห้องติดข้างถนนใหญ่ สำหรับผมบ๋อยเดินนำเอากุญแจไปเปิดอีกห้องหนึ่งอยู่ลึกเข้าไปมาก บ๋อยพยายามไขกุญแจเท่าไรไม่ออกเพราะมือสั่น ผมต้องหยิบกุญแจมาไขเอง เมื่อถือกุญแจก็เห็นสนิมติดมือ จึงรู้ว่าห้องนี้คงไม่ได้เปิดมานานแล้ว เมื่อเปิดออกแล้วเจ้าบ๋อยถามผมว่า “นายจะนอนห้องนี้หรือ” ผมพยักหน้า
บ๋อยจึงพูดว่า “นายเข้าไปก่อนซิ ประเดี๋ยวผมจะไปทำความสะอาดให้”
ผมสังเกตดูรู้ว่าเจ้าบ๋อยคนนี้ลุกลี้ลุกลนชอบกล ผมจึงเข้าไปเปิดหน้าต่างออก ห้องรู้สึกอับๆ เห็นจะเป็นเพราะปิดไว้นาน มองดูสภาพก็ไม่เห็นมีอะไรผิดแปลก นอกจากมุ้งไม่มีและที่นอนม้วนไว้ สักครู่บ๋อยอีกคนนหนึ่งก็หอบเอาผ้าปูที่นอนหมอนมุ้งขึ้นมาและจัดการเช็ดกวาดทำความสะอาดกันสองคน และคุยกันซุบซิบซึ่งผมไม่รู้ว่าพูดอะไรกัน
แต่ที่ผิดสังเกตก็เพราะเจ้าบ๋อยสองคนพูดกันแล้วก็หันมาดูหน้าผม แล้วก็หัวเราะกันคล้ายผมเป็นตัวตลกผมไม่รู้เรื่อง เขาหัวเราะผมเพราะอะไร และผมก็ไม่เอาใจใส่เมื่อเช็ดถูปัดกวาด กางมุ้ง ปูที่นอน ใส่ปลอกหมอนเรียบร้อยแล้วก็ไม่เห็นว่ามันผิดกว่าห้องอื่นอย่างไรเลย ทำไมเถ้าแก่เจ้าของโรงแรมจึงไม่บอกแต่ครั้งแรก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก เพราะเราก็ได้ห้องนอนเรียบร้อยแล้ว ไม่ต้องวิตกว่าจะต้องไปหาที่อื่นนอน
ทราบว่าตามปกติห้องพักไม่ค่อยจะมีคนเต็ม แต่คราวนั้นมีนักสำรวจทั้งไทยและฝรั่ง ๕ คน ได้มาเช่าห้องไว้ จึงทำให้โรงแรมนี้เต็ม เย็นนั้นผมอาบน้ำชำระร่างกายเสร็จแล้วก็เดินลงมาดูอาหารสั่งอาหาร รู้สึกว่าเมื่อผมลงมานั่ง พวกบ๋อยและคนจีนไหหลำบนโรงแรมนั้นต่างมองผมเป็นตาเดียวกัน ผมต้องก้มหน้าลงดูเสื้อผ้าอาจจะใส่ไม่เรียบร้อยหรือขาด แต่ดูแล้วดูอีกก็ไม่เห็นมีอะไรผิดปกติ แล้วก็เลยคิดว่าใครจะดูเราอย่างไรก็อย่าไปสนใจเลย เมื่อผมสั่งอาหารทานเสร็จแล้วก็กลับขึ้นไปนอนพักในห้อง
สักครู่บ๋อยก็เอาตะเกียงเติมน้ำมันมาเสร็จเรียบร้อยขึ้นมาให้ แต่ก็เป็นเรื่องที่ทำให้ผมสงสัยว่า เพียงเอาตะเกียงขึ้นมาก็ต้องขึ้นมาตั้งสองคน ผมอยากจะให้รู้แน่ จึงสั่งให้บ๋อยเอาบุหรี่ขึ้นมาให้ผมหนึ่งซอง แต่แล้วทำให้ผมสนใจมากขึ้นเพราะเพียงยาซองเดียวก็ยังขึ้นมาให้ผมตั้งสองคน ผมนึกแต่ในใจว่าโรงแรมนี้คงมีสิ่งผิดปกติเป็นแน่เมื่อเข้ามาในห้องที่ผมอยู่ เมื่อบ๋อยออกไปแล้ว ผมก็นั่งคิดสักครู่หนึ่ง จึงใส่กุญแจห้องแต่จุดไฟทิ้งไว้ แล้วก็เดินลงบันไดไปข้างล่างเห็นแสงไฟเจ้าพายุแขวนอยู่กลางห้อง มีพวกจีนไหหลำนั่งคุยกันเสียงดังใต้แสงเจ้าพายุ พอผมเดินลงไปเสียงที่ดังก็ค่อยลงทันที ผมก็ทำเป็นไม่สนใจ
เถ้าแก่เจ้าของโรงแรมถามว่า “คุณจะต้องการอะไรบ้างครับ”
ผมจึงบอกว่า “อยากได้น้ำชาจีนสักหนึ่งกา บอกบ๋อยเอาขึ้นไปให้ด้วย”
เสียงเถ้าแก่สั่งบ๋อยเป็นภาษาไหหลำ แล้วพูดโต้ตอบกันสองสามคำ เถ้าแก่หันมาพูดกับผมว่า “ประเดี๋ยวเขาจะเอาขึ้นไปส่งพร้อมกับคุณ”
ผมก็เลยบอกว่า “เอาขึ้นไปได้ผมจะนอนละ”
เมื่อผมพูดแล้วก็เดินขึ้นไป ก็เห็นบ๋อยถือกาน้ำชาขึ้นมาขึ้นมาพร้อมกันสองคนเดินตามหลังผมขึ้นไป เมื่อผมไขกุญแจเข้าไปในห้องเจ้าบ๋อยก็เข้าไปในห้อง วางกาน้ำชาด้วยท่าทางงกๆ เงิ่นๆ ผมเตรียมไว้แล้ว พอเห็นแกจะรีบออกจากห้องผมก็จับข้อมือไว้ผมเห็นบ๋อยคนที่ถูกจับมือ ตกใจสะดุ้งสุดตัวปากสั่นพูดว่า “คุณอย่าเล่นอย่างนี้ผมใจไม่ดี”
ผมจึงถามว่า “นี่อยากจะถามอะไรหน่อยนะ ฉันรู้สึกมีอะไรแปลกหูแปลกตาลึกลับมากในโรงแรมนี้” ผมสังเกตดูบ๋อยสองคนได้ยินคำพูดแล้วทำตาเหลือกกลัวคนจะได้ยิน ชี้มือไปข้างนอกห้อง ผมเดินตามออกไปเพราะแกแสดงกิริยาหวาดกลัวมาก พอออกไปพ้นห้องแล้ว แกก็กระซิบบอกเบาๆ กลัวใครจะได้ยินว่า “ผี”
ผมก็อดหัวเราะไม่ได้ จึงถามว่า “อยู่ที่ไหน” บ๋อยสองคนรีบกระซิบบอกว่า “ในห้องคุณ” เมื่อผมรู้เรื่องผมก็หัวเราะ เพราะผมไม่ใช่คนกลัวผี จึงบอกกับบ๋อยว่า “ไม่ต้องตกใจ ไม่ต้องกลัว”
บ๋อยทั้งสองเห็นผมพูดเช่นนั้นก็ชักจะกล้าขึ้นมาบ้าง เพราะเดิมแกคงคิดว่าพอบอกว่า “ผีอยู่ในห้อง” ผมคงจะสะดุ้งคงจะตกใจกลัว แต่กลับตรงกันข้ามผมกลับหัวเราะ แกคงนึกว่ามาพบคนบ้าบิ่นเข้าแล้ว เลยทำให้แกพลอยกล้าไปด้วย พูดออกมาว่า
“ผมพูดจริงๆ ครับ ไม่ได้พูดเล่น ไม่มีใครนอนจนสว่างได้เลย บางทียังไม่ทันครึ่งคืนก็วิ่งออกจากห้องไม่ทัน เพราะตกใจกลัวมาก ไม่กล้าเข้าไปในห้องอีก เถ้าแก่จึงไม่ค่อยให้ใครพัก”
ผมจึงบอกว่า “ขอบใจเธอสองคนมาก ไม่ต้องเป็นห่วงฉันหรอก เรื่องผีฉันไม่เคยกลัวเลย ผีชอบหลอกคนขี้ขลาด คนใจอ่อนคนตกใจง่าย คนขี้กลัว ฉันใจเข้มแข็งมากพอที่ผีกลัวฉัน ธรรมดาผีไม่หลอกคนเล่นสนุก ผีต้องมีอะไรทุกข์ร้อนเพื่อให้คนช่วย เอาละฉันจะเข้าไปนอนให้สบายเลย”
เมื่อผมพูดแล้วก็รีบกลับเข้าไปในห้องใส่กลอนภายในแล้ว ก็ไขไส้ตะเกียงให้สว่างขึ้น เพื่อจะคอยดูเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นต่อไป เมื่อทราบว่าเป็นผีผมก็เบาใจ เสียงบ๋อยสองคนได้ยินผมพูดชักจะกล้าขึ้นบ้าง ลงไปพูดอะไรข้างล่างแล้วก็มีเสียงโจษจันเป็นภาษจีนผมไม่เอาใจใส่ ตาก็จ้องทางหน้าต่างที่เปิดไว้จนผมง่วงนอนก็ยังไม่เห็นมีอะไรผิดแปลกเกิดขึ้น จนผมหลับไปนานเท่าใดไม่ปรากฏ
พอลืมตาขึ้นเห็นตะเกียงที่สว่างไสวอยู่นั้นก็ค่อยๆ หรี่ลงไฟนวลเมื่อแสงไฟจวนจะดับเป็นสีน้ำเงิน ผมต้องลุกขึ้นนั่งเบิกตากว้างขึ้นดู เพราะเห็นผู้หญิงสวยแต่งตัวเป็นชาวเมืองเหนือ รูปร่างค่อนข้างสวย แต่หน้าเปรอะเปื้อนเลือด ประเดี๋ยวก็ทำหน้าสวยงามประเดี๋ยวก็ทำหน้าน่าเกลียดน่ากลัว แล้วก็มายืนจ้องหน้าดูผม จนเห็นหน้าของเธอเกือบมาติดหน้าผมอยู่แล้ว ผมมีจิตใจเข้มแข็ง แม้ว่าเธอแสดงหน้าตาอย่างไรผมก็ไม่กลัว เพราะผมรู้ว่าแกเป็นผี ผมต้องทำจิตใจให้เข้มแข็ง แกทำอะไรผมไม่ได้ สักครู่แกเห็นผมไม่กลัว แกก็ถามเป็นเสียงชาวเหนือว่า
“คุณบ่กลัวข้าเจ้า” ผมสั่นศีรษะบอกว่า “ไม่กลัวเพราะเธอเป็นผี” เธอถามว่า “เพราะอะไร” ผมบอกว่า “เพราะฉันก็เคยเป็นผีเหมือนเธอ เมื่อฉันยังไม่เกิดเป็นคน แหละเธอก็เคยเป็นคนเมื่อยังไม่เป็นผี”
เธอพูดว่า “ข้าเจ้ารู้ว่าคุณเป็นคนใจเข้มแข็ง ไม่เหมือนคนอื่น พอเห็นข้าเจ้าตกใจกลัววิ่งหนีไป เราจึงไม่รู้เรื่องกันเลย” เธอพูดขึ้นเป็นปกติ และรูปร่างก็เปลี่ยนแปลงไปในทางดี ไม่แสดงกิริยาจะเอาชนะผมอีกต่อไป เราจึงได้พูดกันอย่างธรรมดา
ผมจึงถาม “เธอต้องการอะไร ที่คอยหลอกคนที่มาพักในห้องนี้ทำให้เขาตกใจกลัว”
ทันใดนั้นเธอก็สยายผมแล้วก้มหน้าร้องไห้สะอึกสะอื้น โศกเศร้าเสียใจ ผมปล่อยให้เธอร้องไห้จนจุใจ แล้วเธอก็เงยหน้าขึ้นพลางพูดทั้งน้ำตาว่า
“ข้าเจ้าได้รับความลำบาก ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในที่นี้มานานแล้ว ได้รับความอดอยากยากแค้น ไม่มีใครทำบุญอุทิศกุศลให้พ้นทุกข์ ข้าเจ้าขอคุณเจ้าช่วยข้าเจ้าด้วย เพื่อจะได้พ้นทุกข์พ้นการทรมานจากที่นี่ไปเกิดบ้าง” เธอพูดแล้วก็ร้องไห้สะอึกสะอื้น
ผมรู้สึกสงสารอย่างจับใจจึงบอกเธอว่า “เอาเถิดจะหาทางช่วยเหลือเธอให้พ้นทุกข์พ้นร้อนเท่าที่จะหาทางช่วยเหลือเธอได้ ฉันจะไม่ลืมที่จะช่วยเธอเป็นอันขาดเธอชื่ออะไรนะ” เสียงของเธอตอบแกมสะอื้นว่า “ข้าเจ้าชื่อ บัวผัด”
ผมย้ำทวนชื่อของเธอ แล้วก็ไม่รู้ว่ามีอะไรมาดลใจผมพูดออกมากับเธอว่า “อย่าร้องไห้เลย ฉันจะช่วยเธอได้แน่ จงวางใจเถิด แต่ฉันอยากจะขอร้องเธอว่าต่อไปนี้เธออย่าไปหลอกคนให้ตกใจกลัวอีก”
เธอพูดว่า “ถ้าคุณรับรองจะช่วยข้าเจ้าแน่แล้ว ต่อไปข้าเจ้าก็จะไม่แสดงตัวอีกแล้ว ขอให้คุณช่วยข้าเจ้าไวๆ เถิด”
พูดแล้วเธอก็ก้มลงกราบผม กราบแล้วกราบอีกจนผมเผลอสติไป เพียงจำได้ว่าเธอก้มกราบเท่านั้น ผมก็ล้มตัวลงนอนต่อจากนั้นก็ไม่รู้เรื่อง จนรุ่งเช้าผมตื่นขึ้นมาก็นึกถึงเรื่องที่ได้พูดกับวิญญาณของบัวผัดครึ่งหลับครึ่งตื่น พอเปิดประตูห้องก็พอดีนายฝรั่งสองคนและคนไทยอีกสามคนกำลังใส่กุญแจห้องแล้วลงไปข้างล่าง ผมคิดว่าแกคงเข้าป่าแต่เช้าไปสำรวจตามเคย เช้าวันนั้นตามความสังเกตของผม เหมือนว่าตัวของผมเป็นวีรบุรุษในโรงแรมเพราะคนในโรงแรม ตั้งแต่ตัวเถ้าแก่ตลอดถึงบ๋อยหรือกุ๊ก รู้สึกว่าเอาใจใส่กับผมมาก
ถามผมว่า “คุณ เมื่อคืนนี้นอนสบายดีหรือ ?”
ผมบอกว่า “สบายดี ขอบใจที่เอาใจใส่”
เจ้าบ๋อยสองคนนั้นแอบเข้ามากระซิบถามว่า “เมื่อคืนคุณพบผีผู้หญิงหรือเปล่า ?”
ผมตอบสั้นๆ ว่า “พบ”
บ๋อยถามผมต่อไปว่า “ทำไมคุณไม่วิ่งออกจากห้องล่ะ”
ผมตอบว่า “ก็ฉันไม่กลัวนี่”
แกจึงพูดว่า “คุณเป็นคนแรกที่นอนได้ตลอดคืน คุณมีของดีอะไรนะ หรือมีคาถาของผมบ้างได้ไหม ?”
ผมจึงตอบว่า “ฉันไม่มีคาถาอาคมอะไร ถ้าเราใจอ่อนเราก็กลัวผี ถ้าเราใจเข้มแข็งผีก็กลัวเรา ต่อไปนี้ไม่ต้องกลัวแล้วรับรองว่าเธอไม่มาหลอกอีก” รู้สึกว่าเจ้าบ๋อยมันแสดงความดีใจ ไปเที่ยวบอกคนในโรงแรมตามความเข้าใจของแกว่า ผมได้ปราบผีแล้วไม่มีอยู่ในห้องนั้นอีกต่อไป
หลังจากนั้นผมก็เดินทางไปอีกหลายแห่ง สุดท้ายปลายทางผมก็ขึ้นรถไฟไปเชียงใหม่ พอผมขึ้นไปบนรถก็พบกับ พระภิกษุอาวุโสชั้นเถระผู้ใหญ่องค์หนึ่ง อยู่บนรถไฟชั้นหนึ่ง ผมดีใจมากเพราะท่านอาจแก้ปัญหาผมได้บ้าง เมื่อผมเข้าไปนมัสการท่านแล้วก็สนทนาด้วย ท่านแสดงความเมตตาปรานีสมเป็นสมณะ และก็ทราบว่าท่านอยู่กรุงเทพฯ กำลังจะไปเชียงใหม่เหมือนกัน แต่จะลงพักที่ลำพูนสัก ๒ - ๓ วัน จากนั้นก็จะขึ้นรถยนต์จากนครลำพูนไปพักที่จังหวัดเชียงใหม่
ผมจึงถามขึ้นว่า ถ้าเราจะทำบุญอุทิศส่วนกุศลไปให้วิญญาณของคนตายแล้วจะทำอย่างไรจึงจะถึงผู้ตาย ผมก็เล่าเรื่องประหลาดวิญญาณของบัวผัดถวายท่านแล้วก็เห็นท่านนิ่งครู่หนึ่ง แล้วพูดว่า
“เห็นจะต้องทำสังฆทานอุทิศ ซิคุณ” แล้วท่านก็บอกถึงสิ่งที่ต้องถวายพระ และให้พระท่านช่วยจัดที่พระพุทธ การนิมนต์พระก็ไม่เจาะจงว่าองค์ใด เราไม่มีบ้านถวายที่วัดก็ได้ คราวนั้นผมขึ้นไปถึงเชียงใหม่ ใจนั้นคิดจะช่วยวิญญาณบัวผัดให้พ้นเวรกรรมตามที่รับปากไว้แล้ว ฉะนั้น เมื่อผมขึ้นไปเชียงใหม่และพักที่โรงแรมรถไฟเชียงใหม่ ก่อนอื่นคิดว่าควรจัดการทำสังฆทานเพราะในชีวิตน้อยคนนักที่ได้พบกับเหตุการณ์ประหลาดเช่นนี้ จะต้องใช้เงินเท่าใดผมก็ยอมที่จะอุทิศส่วนกุศล เพราะยังครุ่นคิดถึงวิญญาณของบัวผัดที่ร้องไห้อ้อนวอนขอความช่วยเหลืออยู่ไม่รู้ลืม
ผมจึงจัดการไปหาสิ่งของเพื่อทำสังฆทาน ทุกสิ่งทุกอย่างหาได้โดยเรียบร้อยจากตลาดวโรรส ผมนึกขึ้นมาได้ว่าที่เชียงใหม่นี้มีวัดที่พระสงฆ์ไทยภาคกลางมาจำพรรษาอยู่ แต่ก็มีวัดซึ่งมีพระพม่าจำพรรษาอยู่เหมือนกัน ซึ่งมีสองวัดอยู่ใกล้ติดกัน คือวัดพระไทยและวัดพระพม่า ผมจึงคิดว่าควรจะไปคอยอยู่ทางเข้าวัดไทย เพื่อให้แน่ว่าจะได้ถวายสังฆทานพระสงฆ์ไทยไม่ผิด เพราะเมื่อท่านบิณฑบาตแล้วกลับวัด
เมื่อผมลำเลียงเครื่องถวายสังฆทานตามที่พระผู้ใหญ่ท่านได้แนะนำ โดยรถม้าของชาวพม่าผู้ขับ ผมรอไม่นานนักก็พบพระสงฆ์ท่านกลับจากบิณฑบาตจะเข้าวัด ผมจึงนิมนต์ให้ท่านรับสังฆทานที่วัด โดยรอนิมนต์พระครบสี่องค์ พระท่านได้ช่วยจัดการให้เป็นที่เรียบร้อย และสอนให้ผมทุกสิ่งในคำถวายสังฆทานแล้วท่านก็ให้กรวดน้ำ เมื่อเสร็จแล้วก็รู้สึกจิตใจของผมชุ่มชื่น ที่ได้ทำสังฆทาน
หายความทุกข์หนักอกที่รับปากกับวิญญาณบัวผัด ผมก็ทำตามสัญญาเสร็จโดยสมบูรณ์ไปแล้ว ทางวิญญาณของบัวผัดปีศาจหญิงผู้น่าสงสารนี้จะได้รับส่วนบุญหรือไม่ผมก็ไม่แน่ใจ แต่อย่างน้อยผมก็ได้รับการตอบแทนทางจิตใจ ได้รับความสบายใจ คล้ายกับว่าผมได้ทำงานชิ้นใหญ่อันหนึ่งเสร็จสิ้นไป จิตใจก็โล่งหายหนักอก หลังจากนั้นเมื่อผมติดต่อการงานทางเชียงใหม่เรียบร้อยก็กลับกรุงเทพฯ
ต่อนั้นมาไม่นานนัก ผมก็ต้องขึ้นมาทางภาคเหนือด้วยกิจการงาน คราวนั้นผมจำได้ว่าพักที่โรงแรมรถไฟที่สบตุ๋ย นครลำปาง ตามปกติผมไม่ชอบพักในเมืองเพราะผู้คนจอแจไม่สงบ และผู้จัดการที่โรงแรมรถไฟนี้กับผมชอบพอกันมาก เพราะทุกครั้งที่ผมมานครลำปาง ผมก็จะต้องมาพักที่โรงแรมนี้เป็นประจำ เมื่อผมมาพักแล้วก็ตั้งใจว่า จะเดินทางต่อไปถึงเชียงรายในวันรุ่งขึ้น จึงสั่งให้คนไปช่วยจองรถที่ออกเดินทางไปเชียงรายในวันรุ่งขึ้นเช้า และผมขอจองนั่งข้างหน้ารถ เมื่อคนรับใช้ขี่จักรยานออกไปไม่ช้าก็กลับมาบอกว่า ได้ตกลงจองที่นั่งข้างหน้าไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้เช้ารถออกเวลา ๘ โมง รถจะมารับที่โรงแรมให้ผมเตรียมตัวไว้ด้วย
จากนั้นผมก็เพียงรอเวลาที่จะออกเดินทางให้ไปถึงจุดหมายปลายทาง เพื่อติดต่อการงานทางเชียงราย แต่แล้วคืนวันนั้นผมก็ได้รับความประหลาดอัศจรรย์อีกครั้งก็คือผมหลับไปจวนรุ่งสว่างแล้วฝันว่า ได้เห็นบัวผัดเดินเข้ามาในโรงแรมที่ห้องผมนอน ในฝันนั้นว่าแกแต่งตัวสวยงามหน้าตายิ้มแย้มผุดผ่อง ไม่มีความเศร้าโศกเหมือนเมื่อพบแกเป็นครั้งแรกเลย เธอมาใกล้ผมแล้วยกมือขึ้นไหว้ ผมก็ตะลึง
เธอจึงพูดว่า “คุณได้ช่วยข้าเจ้าพ้นทุกข์แล้ว บัวผัดจึงมาหาคุณได้เพื่อมาขอบคุณที่ได้ช่วยตามที่รับปากกับข้าเจ้าไว้ ข้าเจ้ามานี้ก็เพื่อจะมาบอกให้คุณรู้อีกอย่างหนึ่ง คือ พรุ่งนี้รถที่จะออกเดินทางไปเชียงราย ออกเวลา ๘ โมง ถึง ๙ โมงเช้านั้น ขอให้คุณงดเดินทางเสียอย่าได้ไปเลย รถคันนั้นสี..... คนขับรถรูปร่าง..... ใส่เสื้อสี..... ขอให้จำคำของข้าเจ้าไว้ด้วย อย่าเดินทางตอนเช้าพรุ่งนี้ ขอคุณจงเสียเงินให้เขาไป ข้าเจ้าลาละ หมดหน้าที่ของข้าเจ้าแล้ว”
รุ่งเช้าผมตื่นนอนก็ยังจำภาพฝันอย่างติดหูติดตา ทั้งคำพูดของบัวผัดก็ยังไม่ลืม แต่มาคิดทบทวนดูแล้วก็จะไปเชื่ออะไรกับความฝัน ทั้งคนทางโรงแรมก็ไปจองรถและที่นั่งไว้เรียบร้อยแล้ว เช้า ๘ โมง รถก็จะมารับ ผมจึงตัดสินใจว่า จะไม่เชื่ออะไรกับความฝันให้เสียงานเสียการเปล่าๆ พอ ๗ โมเช้า ทางโรงแรมก็จัดไข่ลวก และขนมปังกาแฟมาให้ผมที่ห้อง ผมแต่งตัวเตรียมไว้พร้อมเพื่อไม่ได้เสียเวลา เมื่อรถมาก็จะได้ไป
หลังจากจัดการกับอาหารเช้าที่ทางโรงแรมจัดมาให้เรียบร้อยแล้ว ก็นั่งอ่านหนังสือเพื่อรอเวลารถมารับออกเดินทาง พลางดูนาฬิกาเรือนใหญ่ที่ติดอยู่ข้างฝาของโรงแรมก็เห็นจวนจะ ๘ โมงแล้ว คิดในใจว่าเจ้าของรถคงจะตระเวนรอบตลาดเพื่อหาคนโดยสาร แต่แล้วก็ได้ยินเสียงแตรรถดังขึ้น ไม่ช้าก็เห็นรถแล่นเข้ามาในโรงแรม เสียงคนรถร้องบอกมาตลอดทางว่า “เชียงฮาย เชียงฮาย !”
พอรถจอดหน้าโรงแรมผมก็ต้องตกตะลึง เพราะรถคันนั้นมันตรงกับความฝันทั้งสีของรถ ทั้งสีของเสื้อคนขับ และก็เหมือนเสียงกระซิบแว่วๆ ว่า “คุณอย่าไป เชื่อข้าเจ้าเถิด”
ผมต้องขนลุกขึ้นมาทันที “คุณอย่าไป เชื่อข้าเจ้าเถิด” ผมตัดสินใจเป็นครั้งสุดท้าย เดินลงจากโรงแรมตรงไปที่รถซึ่งกำลังรอผมอยู่หน้าโรงแรม พลางควักเงินค่าโดยสารออกให้แล้วพูดกับคนขับรถว่า “ขอบใจน้องชายที่มารอตามเวลา ขอชำระค่าโดยสารไปถึงเชียงราย แต่ฉันไม่ไปหรอกวันนี้ ขอโทษด้วยนะ”
คนรถรับเงินแล้วก็งงๆ เพราะไม่คิดว่าผมจะไม่ไปเพราะเห็นเตรียมตัวรออยู่ก่อนแล้ว เมื่อแกรับเงินจากผมแล้วก็บอกว่า “ไม่เป็นไรครับ” แล้วไม่ช้ารถคันนั้นก็ออกจากโรงแรมไป ผมเองก็ไม่แน่ใจว่าตัดสินใจไปนั้นผิดหรือถูก สิ่งที่น่าคิดก็คือผมมีธุระด่วนทางเชียงราย และต้องกลับถึงกรุงเทพฯ ช้ากว่ากำหนดหนึ่งวันโดยไม่มีเหตุผล
งานทุกอย่างวางแผนไว้ก็เคลื่อนหมด ตามธรรมดาผมเป็นคนที่ไม่เชื่อโชคลาง วันนี้ผมไม่ได้ออกจากโรงแรมใช้เวลาบันทึกเรื่องและอ่านหนังสือเท่าที่มีติดตัว แต่แล้วเย็นวันนั้นเองบ๋อยที่โรงแรมไปได้ข่าวมาจากตลาดว่า รถโดยสารคันที่จะรับผมไปเชียงรายตอนเช้านั้น วิ่งไประหว่างทางได้เกิดอุบัติเหตุตกเขาลงเหวข้างทาง คนโดยสารได้รับบาดเจ็บสาหัสและล้มตาย
ผมได้ทราบข่าวร้ายแรงที่น่าสยดสยอง ซึ่งผมก็ไม่รู้สึกสะดุ้งสะเทือน เพราะจิตใจผมเข้มแข็งพอ แต่ผมก็สุดที่จะระงับความตรึงใจที่ผมได้รอดอุบัติเหตุคราวนี้ ก็เพราะวิญญาณของผู้หญิงผู้หนึ่ง ผมตื้นตันใจ พูดอะไรไม่ออก ผมเป็นลูกผู้ชายที่มีจิตใจเข้มแข็งอย่างไม่ย่อท้อต่อภัยอันตรายใดๆ แต่ต้องมาสะอื้นด้วยความตื้นตันใจ ผมเล่าไม่อาย ผมต้องร้องไห้จิตใจผมอ่อนลง เพราะความดีของดวงวิญญาณผู้หญิงผู้หนึ่ง ผมอยากจะเรียกว่า “วิญญาณกตัญญู”
คืนวันนั้น เราเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านๆ สู่กันฟังจนดึก แล้วเราก็เข้านอน แต่ข้าพเจ้าอดคิดอดนึกถึง “วิญญาณกตัญญู” ของเพื่อนร่วมโรงแรมเสียมิได้ เช้าขึ้นเราต่างก็แยกกันที่สถานี ข้าพเจ้าขึ้นเหนือ แต่ท่านผู้นั้นล่องลงใต้ เรื่องวิญญาณกตัญญูเป็นเรื่องน่าคิดเรื่องหนึ่ง
credit -- จากหนังสือกฎแห่งกรรม
ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เล่ม ๑
โดย ท.เลียงพิบูลย์