23.9.12

เชื่อกฎแห่งกรรม

 

กฎแห่งกรรม คือ กฎแห่งการกระทำ 
หมายถึงการกระทำที่ประกอบด้วยเจตนา 
หรือความตั้งใจ จงใจ ที่เราทำไว้เอง 
ทั้งในอดีตและปัจจุบัน แล้วเราก็รับผลแห่งกรรมนั้น
เรียกว่า "กฎแห่งกรรม"


เรื่องของกรรม เป็นเรื่องลึกลับซับซ้อนมาก 
ลำพังปุถุชนคนธรรมดา ไม่อาจที่จะรู้ให้ตลอดสายได้ 
อย่าว่าแต่กรรมในอดีต ที่ข้ามภพข้ามชาติหลายชาติเลย 
แม้กรรมในปัจจุบันเราก็ยังรู้ได้ยาก 
เช่น บางคนทำแต่ความดีมาตลอด แต่ก็ได้รับความทุกข์ 
หรือความเดือดร้อนต่างๆ เป็นต้น 
บางคนทำแต่ความชั่วแต่ก็ได้รับยกย่องมีเกียรติเป็นต้น


ในที่นี้ไม่มีความประสงค์จะเขียนเรื่องกรรม 
เพราะมันยุ่งยากและเสียเวลามาก 
แต่จากการที่ได้ศึกษาและปฏิบัติธรรม มาเป็นเวลานาน
จนเกิดความมั่นใจว่า กฎแห่งกรรมนี้ยุติธรรมยิ่ง 
อยากขอให้ท่านผู้อ่าน
เชื่อพระพุทธเจ้าเถิดว่า 
"ทำดีย่อมได้ดี ทำชั่วย่อมได้ชั่วแน่"


การไม่เชื่อกรรม หรือกฎแห่งกรรม มีผลเสียมาก 
ที่บางคนท้อใจไม่อยากทำดี 
ก็เพราะไม่เข้าใจกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง 
เมื่อไม่เข้าใจก็ไม่อยากทำความดี 
เมื่อไม่ทำความดี ชีวิตก็หมดความสุข


การเชื่อกฎแห่งกรรมเพียงประการเดียว 
ทำให้คนเราตั้งหน้าตั้งตาทำแต่ความดี 
ชีวิตก็ย่อมจะประสบความสุข ทั้งในชาตินี้และชาติต่อ ๆ ไป


บางคนอาจจะสงสัยว่า ก็เราไม่เคยทำความชั่ว
และได้ทำแต่ความดีมาโดยตลอด 
แต่ทำไมจึงได้รับความเดือดร้อนต่างๆ อยู่เป็นประจำ ? 
อย่าได้สงสัยให้เสียกำลังใจในการทำความดีเลย 
นั่นเป็นผลของความชั่วที่เราได้ทำไว้ในอดีตกำลังให้ผลอยู่ จงยินดีรับและทำความดีเรื่อยไป 
ในวันหนึ่งมันก็ย่อมหมด และกรรมดีก็ย่อมจะให้ผลเราบ้าง คราวนี้เราก็ย่อมจะได้รับผลของความดี 
คือความสุขอื้อซ่าไปเลยเชียวละ


ก็คิดดูหรือเอาอะไรตรองดูเถอะ ! 
ขนาดในชาตินี้เราไม่ทำชั่ว เรายังเดือดร้อนถึงเพียงนี้ 
แล้วถ้าเราขืนไปทำชั่วต่อเข้าอีก 
นอกจากในชาตินี้เราจะเดือดร้อนแล้ว 
ในชาติต่อไปเราก็ยิ่งจะเดือดร้อนใหญ่


อย่าสงสัยเลย กรรมกับการให้ผลของกรรม 
ย่อมลงตัวกันเสมอ เช่น เราทำบุญ เราก็ย่อมสบายใจ 
เราทำบาป เช่น ฆ่าเขา เราก็ย่อมจะทุกข์ใจ 
กลัวผลกรรมจะตามสนองก็เห็นกันอยู่เจ๋ง ๆ แล้ว 
ยังจะสงสัยอะไรกันอีกเล่า ? เราไหว้เขา เขาก็ไหว้เรา 
เราด่าเขา เขาก็ด่าตอบ 
ก็เห็นเหตุและผลกันอยู่ทนโท่แล้วนี่นา จะมัวชักช้าอยู่ไย ?


ที่คนส่วนมาก มักจะเข้าใจการให้ผลของกรรมผิด 
ก็โดยการเอาการให้ผลกรรมฝ่ายรูปหรือวัตถุ
ไปรวมกับการให้ผลกรรมฝ่ายนามหรือจิตใจไปเสีย
คือเข้าใจเพี้ยนไปว่าคนทำบุญให้ทาน 
จะต้องร่ำรวยทันตาเห็น 
เพราะทางพระสอนว่า คนให้ทาน 
เกิดชาติใดจะร่ำรวยมีเงินทองมากมาย
เป็นเศรษฐี มหาเศรษฐี เป็นต้น


แต่แล้วเหตุไฉนคนยิ่งทำบุญมาก ก็ยิ่งยากจนลง ? 
และคนเข้าวัดส่วนมากก็ล้วนแต่เป็นคนจนเล่า ? 
หรือว่าพระท่านจะหลอกให้คนทำบุญ 
ท่านจะได้ร่ำรวย กินดีอยู่สบาย ? 
ขอชี้แจงเรื่องผลของบุญ หรือผลของกรรมประเภทรูปและนามดังนี้


ผลบุญหรือกรรมประเภทรูป (วัตถุ) นี้ 
ค่อนข้างจะพิสูจน์ยาก 
เพราะรู้สึกว่า ผลของกรรมหรือบุญฝ่ายนี้ค่อนข้างจะเดินทางช้า ไม่ค่อยจะทันใจคนที่คิดมากเลย


แต่ก็ขอให้มั่นใจเถอะว่า 
เรื่องของการให้ผลของกรรมไม่ว่าจะเป็นฝ่ายบุญหรือบาปก็ตาม 
ย่อมจะลงตัวกันเสมอ จะมีตัวแปรให้เสียคิวไปบ้าง 
ก็ย่อมจะไม่พ้นวงจรของกรรมอีกเช่นกัน


ที่เราเห็นว่า คนรวยเข้าวัดทำบุญน้อย 
ก็เกิดจากเหตุ ๒ ประการ คือ หาเวลาว่างยาก 
กับประมาทมัวเมาในความมีทรัพย์ 
ตรงข้ามกับคนจน ซึ่งมีเวลาว่างมาก ( ลูกจึงมาก
และมักจะเห็นโทษของความจน 
จึงตั้งหน้าแต่ทำบุญ หวังว่าชาติหน้าจะได้ร่ำรวยกับเขาบ้าง


ส่วนผลบุญหรือกรรมประเภทนาม ( จิตใจ ) นี้ 
เราสามารถเห็นได้ทันทีทันใดทั้งที่นี่และเดี๋ยวนี้เลยว่า 
คนทำบุญหรือทำความดี จิตใจย่อมจะสดชื่นและแจ่มใสในทันที 
หรือแม้เพียงแต่คิดเท่านั้น บุญก็เกิดแล้ว


ยกเว้นแต่คนที่ "มือถือสาก ปากถือศีล
หรือ "ปากปราศรัย น้ำใจเชือดคอ
หรือ "ทำบุญเอาหน้า ภาวนาตอแหล" เท่านั้นแหละ 
ที่การกระทำมักจะสวนทางกับความคิดอยู่ตลอดเวลา


การเชื่อกฎแห่งกรรมอย่างถูกต้อง 
จะช่วยตัดหรือปัดความผิดไปให้คนอื่นจนหมดสิ้น 
ทำให้เรายอมรับความจริงอันเกิดขึ้นจากผลกรรมว่า 
เป็นการกระทำของเราเอง เราทำไว้ด้วยตัวเราเอง 
ความทุกข์อันเกิดจากความคั่งแค้น 
ว่าคนอื่นมาทำให้เรานั้น ก็เป็นอันว่าหมดไป


เพราะว่าโดยแท้จริงแล้ว เราทำของเราเอาไว้เองทั้งนั้น 
แล้วเราจะไปตีโพยตีพายเอากับใคร ? 
ยิ่งเอะอะมะเทิ่งมากไปก็จะยิ่งขายหน้าท่านผู้รู้เขาเปล่า ๆ เสียภูมิของบัณฑิตหมด


"ก็เขามาทำให้ฉัน ฉันไม่ได้ทำอะไรให้เขานี่นา"

บางคนอาจจะยังปากแข็งไม่ยอมเชื่อ ใช่ ! นั่นแหละ ? 
เราได้ไปทำกะเขาเอาไว้ก่อน ชาติก่อน ๆ โน้น ! 
ชาติไหนก็ไม่รู้ แต่ว่าเราต้องไปทำเขาไว้ก่อนแน่ 
อย่าได้ไปโต้ตอบเขาเลย มันจะได้หายหรือเจ๊ากันไป 
ขืนไปตอบโต้เขาก็จะทำให้ผลกรรมใหม่นี้ 
มันก็จะติดตามไปชาติหน้าอีกไม่รู้จักหมดกรรมหมดเวรกันสักที


ก็เหมือนเรื่องสมเด็จ (โต) ท่านตัดสินคำฟ้องที่ว่า 
มีพระสองรูปไปบิณฑบาติทางเรือ องค์หนึ่งพายหัว 
องค์หนึ่งพายท้าย แต่แล้วเหตุใดไม่ทราบ 
องค์พายท้ายเกิดเอาพายไปไปตีหัวองค์พายหัวเรือเข้า 
ท่านก็ไปฟ้องสมเด็จฯ สมเด็จฯ ท่านก็ตัดสินว่า


"ก็คุณไปตีเขาก่อนนี่ เขาจึงตีเอา"


พระรูปพายหัวเรือก็แย้งว่า


"กระผมไม่ได้ตีเขา เขาตีผมข้างเดียว"


สมเด็จฯ ท่านก็ยังยืนยันอย่างนั้น
จนต้องไปฟ้องพระผู้ใหญ่ที่ปกครองเหนือกว่าสมเด็จ (โต
ท่านก็จึงได้เฉลยว่า


"ถ้าพระองค์นี้ไม่ไปตีเขาไว้ในชาติก่อนแล้ว 
เหตุใดเขาจึงได้มาถูกตีในชาตินี้เล่า ?"

เรื่องนี้ก็ยุติกันไป เพราะสมเด็จฯ 
ท่านเล่นยกไปให้กรรมเก่าในชาติก่อนมันก็เอวังกันเท่านั้นเอง

เอาเป็นว่า การที่เราได้รับความทุกข์ ความเดือดร้อน 
ความยากจน ความไม่สบายกาย 
ความไม่สบายใจทั้งหมดเหล่านั้น 
ล้วนเป็นผลมาจากกรรมชั่วของเราในอดีตโน้นกำลังให้ผลอยู่ 
(อย่าถามว่าชาติไหนนะ ? ผู้เขียนก็ไม่รู้เหมือนกัน 
เชื่อพระปัญญาตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าท่านน่ะ)


ส่วนว่าเราได้รับความสุข ความสบาย ความร่ำรวย.... 
นั่นก็เป็นผลของกรรมฝ่ายดี 
ทั้งในอดีตและในปัจจุบันกำลังให้ผลอยู่ 
ผสมผสานกันจนแยกไม่ออก 
แต่ก็เห็นได้ง่ายๆว่า แม้ว่าคนนั้นจะมีบุญมากปานใด ? 
ก็จะส่งให้มาเกิดในตระกูลที่ร่ำรวยเท่านั้น 
แต่ถ้าโง่และขี้เกียจในชาตินี้ มันก็ไม่พ้นความยากจนไปได้


เป็นอันว่า การเชื่อกฎแห่งกรรมนั้น มีแต่ผลดี 
คือช่วยเป็นกำลังใจ ให้ทำความดียิ่งๆ ขึ้นไป 
และความดีนั้นย่อมมีผลเป็นความสุข 
ผู้ทำความดีก็ย่อมจะมีความสุขในปัจจุบัน 
และแม้สิ้นชีพไปแล้ว 
ก็ย่อมจะไปเกิดในสุคติอย่างไม่ต้องสงสัยเลย

ที่มา -- ธรรมรักษา


คนมีธรรม