"คนสองคนทําทานเท่ากัน แต่ตายไป กลับไปสวรค์คนละชั้นเพราะว่า...."
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๒๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๕
อังคุตตรนิกาย สัตตก-อัฏฐก-นวกนิบาตทานสูตร
สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ที่ฝั่งสระโบกขรณีชื่อคัคครา
ใกล้จัมปานคร อุบาสกชาวเมืองจัมปาจํานวนหนึ่งเข้าไปหาท่านพระสารีบุตร อภิวาทแล้วนั่ง ก่อนจะกล่าวกับท่านพระสารีบุตรว่า อยากจะฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า ซึ่งพระสารีบุตรได้กล่าวว่า ให้มาในวันอื่น ซึ่งเป็นวันอุโบสถ จากนั้นชาวเมืองจึงพากันกลับไป
พอถึงวันอุโบสถ หรือวันพระ ชาวเมืองก็มาอีกครั้ง และครั้งนี้พระสารีบุตรก็พาเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า พร้อมถามในสิ่งที่ชาวเมืองสนใจใคร่รู้เรื่องการทําทาน ดังนี้
พระสารีบุตรถามว่า
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ การทําทานที่ผู้ทํานั้น ทําจํานวนมาก ให้ทานมากๆ แต่กลับได้อานิสงส์น้อย มีหรือไม่ อย่างไร"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรสารีบุตร ทานที่ผู้ทําทานมากๆ แต่กลับได้บุญน้อยนั้นมีจริง และทานที่ผู้ทําทานมากๆ และได้ผลบุญมากๆตามจํานวนและปริมาณการทําทานก็มี"
พระสารีบุตรถามต่อ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยดังกล่าว"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์"
สรุปแยกเป็นชั้นสวรรค์ ตามการทําทานที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
1. สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช
"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่บนโลก
2. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
"ส่วนบุคคลที่ทําทานแบบไม่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
เขาผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
3. สวรรค์ชั้นยามา
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
4. สวรรค์ชั้นดุสิต
"ดูกรสารีบุตร บุคคลให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าวฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
5. สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน (ให้ทานเพราะอยากแจก อยากให้) เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษีวามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
6. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
7. ชั้นพรหม (สูงสุด)
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพราะ...
- ไม่คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
-ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส
แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก (แปลจากพระพุทธเจ้าตรัส)
* เห็นมั้ยว่า การให้ทานนั้น ไม่ใช่ว่าให้มากแล้วเราจะได้มาก ทุกอย่างอยู่ที่จิตตัวเดียว จิตจะต้องสะอาดบริสุทธิ์เป็นการสําคัญ การทานนั้น หากทานเพระามีมูลเหตุ ฉันจะทานเพราะอย่างนั้น ฉันจะทานเพราะอย่างนี้ ผลบุญจะส่งผลไปตามจิตที่คิดอธิษฐาน ด้วยเพราะการทานยังไม่บริสุทธิ์ เป็นการทานแบบหวังกําไร เป็นการทานแบบหวังผล และการหวังผลของจิต การคิดของจิต ก็จะไปสวรรค์แต่ละชั้นตามลําดับดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งผมเข้าใจดีว่า มนุษย์เรายังมีกิเลศมาก การให้ทานของเราๆท่านๆจึงมุ่งหวังผลด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด ของอย่างนี้ต้องฝึกจิตควบคู่ไปด้วย ให้ทานบ่อยๆจนเป็นนิสัย ให้ทานเสมอเมื่อมีโอกาส แล้วจิตจากที่เคยคิดว่าทานเพื่อหวังผล มันจะค่อยๆเรียนรู้จนไม่คิดอะไรอีกเลย เพราะ 'แค่ให้' ก็สุขใจ และพอสุขใจ ก็เท่ากับเราหมดทุกข์ในจิต เทียบกับการได้ขึ้นสวรรค์แล้วลําดับหนึ่งบนโลก ...สวรรค์ในใจ ...
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรสารีบุตร ทานที่ผู้ทําทานมากๆ แต่กลับได้บุญน้อยนั้นมีจริง และทานที่ผู้ทําทานมากๆ และได้ผลบุญมากๆตามจํานวนและปริมาณการทําทานก็มี"
พระสารีบุตรถามต่อ
"ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ อะไรหนอเป็นเหตุเป็นปัจจัยดังกล่าว"
พระผู้มีพระภาคตรัสว่า
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ยังมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่อง
ลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์"
สรุปแยกเป็นชั้นสวรรค์ ตามการทําทานที่พระพุทธเจ้าท่านสอนมา
1. สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราช
"ดูกรสารีบุตร ในการให้ทานนั้น บุคคลมีความหวังให้ทาน มีจิต
ผูกพันในผลให้ทาน มุ่งการสั่งสมให้ทาน ให้ทานด้วยคิดว่าตายไปแล้วจักได้
เสวยผลทานนี้ เขาผู้นั้นให้ทานนั้นแล้ว เมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นจาตุมมหาราช สิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่บนโลก
2. สวรรค์ชั้นดาวดึงส์
"ส่วนบุคคลที่ทําทานแบบไม่หวังผล ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่คิดว่า ตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้ แต่ให้ทานด้วยคิดว่า ทานเป็นการดี เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม
เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์แก่สมณะหรือพราหมณ์
เขาผู้นั้นเมื่อตายไป ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดาวดึงส์ เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่
ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
3. สวรรค์ชั้นยามา
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราก็ไม่ควรทำให้เสียประเพณี เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นยามา เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
4. สวรรค์ชั้นดุสิต
"ดูกรสารีบุตร บุคคลให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากิน สมณะและพราหมณ์เหล่านี้ไม่หุงหากิน เราหุงหากินได้ จะไม่ให้ทานแก่สมณะหรือพราหมณ์ผู้ไม่หุงหาไม่สมควร เขาให้ทาน คือ ข้าวฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นดุสิต เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศหมดความเป็นใหญ่ แล้วยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
5. สวรรค์ชั้นนิมมานรดี
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน (ให้ทานเพราะอยากแจก อยากให้) เหมือนฤาษีแต่ครั้งก่อน คือ อัฏฐกฤาษีวามกฤาษี วามเทวฤาษี เวสสามิตรฤาษี ยมทัคคิฤาษี อังคีรสฤาษี ภารทวาชฤาษี วาเสฏฐฤาษี กัสสปฤาษี และภคุฤาษี บูชามหายัญ ฉะนั้น เขาให้ทาน คือข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นนิมมานรดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
6. สวรรค์ชั้นปรนิมมิตวสวัสดี
"ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส เขาให้ทาน คือ ข้าว ฯลฯ ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นปรนิมมิตวสวัสดี เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ หมดความเป็นใหญ่แล้ว ยังเป็นผู้กลับมา คือ มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* หมดบุญจากสวรรค์ ก็กลับมาเกิดใหม่
7. ชั้นพรหม (สูงสุด)
ดูกรสารีบุตร บุคคลบางคนในโลกนี้ ให้ทานเพราะ...
- ไม่คิดว่า เมื่อเราให้ทานอย่างนี้ จิตจะเลื่อมใส เกิดความปลื้มใจและโสมนัส แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทาน คือ ข้าว น้ำ ผ้า ยาน ดอกไม้ ของหอม เครื่องลูบไล้ ที่นอน ที่พัก ประทีปและเครื่องอุปกรณ์ แก่สมณะหรือพราหมณ์
-ไม่มีความหวังให้ทาน ไม่มีจิตผูกพันในผลให้ทาน ไม่มุ่งการสั่งสมให้ทาน ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราตายไปแล้วจักได้เสวยผลทานนี้
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า การให้ทานเป็นการดี
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า บิดามารดาปู่ย่าตายายเคยให้เคยทำมา เราไม่ควรทำให้เสียประเพณี
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราหุงหากินได้ สมณะหรือพราหมณ์เหล่านี้
หุงหากินไม่ได้ จะไม่ให้ทานแก่ผู้ที่หุงหากินไม่ได้ ไม่สมควร
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เราจักเป็นผู้จำแนกแจกทาน
- ไม่ได้ให้ทานด้วยคิดว่า เมื่อเราให้ทานนี้ จิตจะเลื่อมใส จะเกิดความปลื้มใจและโสมนัส
แต่ให้ทานเป็นเครื่องปรุงแต่งจิต เขาให้ทานเช่นนั้นแล้ว เมื่อตายไป
ย่อมเข้าถึงความเป็นสหายแห่งเทวดาชั้นพรหม เขาสิ้นกรรม สิ้นฤทธิ์ สิ้นยศ
หมดความเป็นใหญ่แล้ว เป็นผู้ไม่ต้องกลับมา คือ ไม่มาสู่ความเป็นอย่างนี้"
* ไม่ต้องกลับมาเกิดอีก (แปลจากพระพุทธเจ้าตรัส)
* เห็นมั้ยว่า การให้ทานนั้น ไม่ใช่ว่าให้มากแล้วเราจะได้มาก ทุกอย่างอยู่ที่จิตตัวเดียว จิตจะต้องสะอาดบริสุทธิ์เป็นการสําคัญ การทานนั้น หากทานเพระามีมูลเหตุ ฉันจะทานเพราะอย่างนั้น ฉันจะทานเพราะอย่างนี้ ผลบุญจะส่งผลไปตามจิตที่คิดอธิษฐาน ด้วยเพราะการทานยังไม่บริสุทธิ์ เป็นการทานแบบหวังกําไร เป็นการทานแบบหวังผล และการหวังผลของจิต การคิดของจิต ก็จะไปสวรรค์แต่ละชั้นตามลําดับดังที่กล่าวมาแล้ว ซึ่งผมเข้าใจดีว่า มนุษย์เรายังมีกิเลศมาก การให้ทานของเราๆท่านๆจึงมุ่งหวังผลด้วยกันทั้งนั้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องผิด ของอย่างนี้ต้องฝึกจิตควบคู่ไปด้วย ให้ทานบ่อยๆจนเป็นนิสัย ให้ทานเสมอเมื่อมีโอกาส แล้วจิตจากที่เคยคิดว่าทานเพื่อหวังผล มันจะค่อยๆเรียนรู้จนไม่คิดอะไรอีกเลย เพราะ 'แค่ให้' ก็สุขใจ และพอสุขใจ ก็เท่ากับเราหมดทุกข์ในจิต เทียบกับการได้ขึ้นสวรรค์แล้วลําดับหนึ่งบนโลก ...สวรรค์ในใจ ...
ที่มา -- ธรรมะคือคุณากร/fb.com