8.7.13

การไม่คบคนพาล






 พระสิริมังคลาจารย์ได้นิยามคำว่า "คนพาล" ไว้ว่า คนพาล คือ คนที่คิดชั่ว พูดชั่ว ทำชั่ว คนพาลเป็นคนที่ชอบแนะนำในสิ่งที่ไม่ควรแนะนำขวนขวายในสิ่งที่ไม่ขวนขวาย คนพาลไม่มีวินัย เขาพูดด้วยดีๆ ก็โกรธ
การคบคนพาล พลอยทำให้พฤติกรรมของผู้ที่คบหาเป็นคนพาลไปด้วย เพราะนิสัยไม่ดีนั้นจะค่อยซึมซับในจิตใจของผู้ที่คบหา
      ท่านว่าอย่าว่าแต่คนเลย แม้ต้นไม้ สัตว์ ก็เป็นไปด้วย แล้วท่านก็ยกนิทาน 6 เรื่องประกอบคำอธิบายเพื่อให้ผู้อ่านแจ่มแจ้งแดงแจ๋ หายกังขา ดังจะขอนำมาเล่าต่อตามลำดับ
      ต้นมะม่วงกับต้นสะเดา
ในอดีตกาลนานมาแล้ว สมัยพระเจ้าพรหมทัตครองราชสมบัติอยู่เมืองพาราณสีโน่นแหละครับ ประทานโทษ คราวนี้กลับมิใช่ สมัยพระเจ้าทวิวาหนะ (แปลว่า มีพาหนะสองชนิด อาจจะเป็นรถเก๋งหุ้มเกราะ กับเครื่องบินส่วนพระองค์ก็ได้นะ)
พระองค์ได้มะม่วงผลหนึ่ง มีรสอร่อยมาก
      สาเหตุที่ได้มะม่วงวิเศษผลนี้ก็คือ พระราชาเสด็จไปสรงสนานในแม่น้ำวันหนึ่ง ตามปกติแล้ว เจ้าพนักงานจะขึงตาข่ายด้านเหนือน้ำ และด้านใต้น้ำ ให้พระเจ้าอยู่สรงสนานเป็นประจำ คงต้องการป้องกันสวะและสิ่งที่ไม่พึงปรารถนาไหลมาถูกต้องพระวรกายก็ได้ และบังเอิญคราวนั้นมีมะม่วงใหญ่ผลหนึ่งลอยมาติดตาข่าย
     เจ้าพนักงานจึงนำไปทูลเกล้าฯ ถวาย พระราชาเสวยมะม่วงผลนั้นแล้วทรงพอพระทัยในรสอันหวานอร่อยของมะม่วงผลนั้น จึงรับสั่งให้เอาเมล็ดไปเพาะไว้ที่พระราชอุทยาน รับสั่งให้คนสวนดูแลให้ดีที่สุด
     คนสวนก็รดน้ำผสมด้วยน้ำนมอยู่เป็นประจำ มะม่วงต้นนั้นก็เจริญเติบโตไปตามกาลเวลา ล่วงเข้าปีที่สามก็ได้ผลจำนวนมากพระราชาก็ได้เสวยมะม่วงที่มีรสอร่อยเป็นประจำ
     อยู่มาวันหนึ่ง พระราชาเสวยมะม่วงตามปกติ แต่มะม่วงนั้นกลับมีรสขม ไม่หวานเหมือนเช่นเคย จึงรับสั่งให้สืบหาสาเหตุว่ามันเกิดอะไรขึ้น และความจริงก็ปรากฏขึ้น
      สาเหตุก็เพราะว่า คนเฝ้าพระราชอุทยานคนเก่าออกไปคนใหม่เข้ามา แต่ไม่ปฏิบัติเหมือนคนก่อน แกไปปลูกต้นสะเดาไว้ข้างต้นมะม่วง รากสะเดาก็ชอนไชไปเกี่ยวพันรากมะม่วง เลยพลอยทำให้ผลมะม่วงกลายเป็นรสขมในที่สุด
      เมื่อทรงทราบสาเหตุแล้ว พระเจ้าทวิวาหนะจึงรับสั่งให้ถอนต้นสะเดาทิ้งทั้งรากไม่ให้เหลือหลอ และให้เอาน้ำผสมน้ำนมรดต้นมะม่วงดังที่เคยมา ในที่สุด มะม่วงต้นนั้นก็ออกผลมีรสหวานอร่อยเหมือนดังเดิม

เรื่องก็จบลงเพียงเท่านี้...
       ท่านก็สรุปความว่า นี่ขนาดต้นไม้นะ อยู่ใกล้ต้นไม้ที่มีรสขม ก็ยังกลายสภาพเป็นต้นไม้ที่ให้ผลขมได้ แล้วกับคนเล่าครับจะไปเหลืออะไร
         ท่านจึงเตือนว่า...ให้ห่างคนชั่วไว้นั้นแลเป็นดี
ดังพระบาลีว่า...  ยํ เว เสวติ ตาทิโสคบคนเช่นใด ย่อมเป็นคนเช่นนั้น
พุทธศาสนสุภาษิต   ยาวชีวมฺปิ เจ พาโล ปณฺฑิตํ ปยิรุปาสติน โส ธมฺมํ วิชานาติ ทพฺพี สูปรสํ ยถา
คนพาล ถึงอยู่ใกล้บัณฑิต จนตลอดชีวิต  ก็ไม่รู้แจ้งธรรม เสมือนทัพพีที่ไม่รู้รสแกง



นกแขกเต้าสองตัว
       มีนกแขกเต้าอยู่สองตัว พ่อแม่เดียวกัน เขาว่านกพันธุ์นี้พูดได้ทำนองนกแก้วนกขุนทองนั้นแหละ บังเอิญคราวหนึ่งเกิดพายุหมุน(ลมหัวด้วน) พัดพานกทั้งสองตัวไปคนละทิศคนละทาง
      ตัวหนึ่งไปตกใกล้ที่อยู่ของพวกโจร ตกลงมายังกองหอก กองดาบพอดี พวกโจรมาพบเข้าจึงเอามันไปเลี้ยงไว้ และตั้งชื่อว่า "สัตติคุมพะ" (แปลว่า ไอ้หอก เพราะตกลงใกล้ที่เก็บอาวุธ)
      พวกโจรนั้นก็รู้กันอยู่แล้ว ยังชีพด้วยการปล้นฆ่า วันๆ ก็วางแผนว่าจะไปปล้นที่ไหน อย่างไร กิริยาอาการก็ไม่สำรวม พูดจากันแต่เรื่องฆ่าๆ ปล้นๆ มึงมาพาโวย นกมันก็เลียนเสียงพูดของพวกโจร
      อีกตัวหนึ่งไปตกที่สวนดอกไม้ของพวกฤๅษี พวกฤๅษีจึงเอาไปเลี้ยงไว้ ตั้งชื่อ "ปุบผกะ" (แปลว่า ไอ้ดอกไม้) อาศรมของพวกฤๅษี พวกนักพรตก็จะพูดจาแต่ถ้อยคำอันไพเราะ นกก็จำไว้ และเลียนเสียงตาม
      อยู่มาวันหนึ่ง พระเจ้าปัญจาละเสด็จไปล่าเนื้อ พลัดหลงกับข้าราชบริพาร เสด็จไปองค์เดียว ทรงพักผ่อนใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งกลางป่า พลันทรงสะดุ้งตื่น เพราะมีเสียงร้องว่า "ฆ่ามันเลย ปล้นมันเลย" ทรงนึกว่าพวกโจรจักมาปล้น ทรงหันไปตามเสียงที่ได้ยิน ก็ทอดพระเนตรเห็นนกตัวน้อยร้องเสียงคน จึงเสด็จต่อไปเพราะขืนอยู่พวกโจรอาจตามมาได้
      เสด็จไปถึงอาศรมของฤๅษี ขณะนั้นพวกฤๅษีไม่อยู่ มีนกแขกเต้าตัวเดียวเฝ้าอยู่ นกเห็นมีคนเดินเข้ามา ก็ร้องต้อนรับอย่างสุภาพว่า "สวาคะตัม" (แปลว่า ยินดีต้อนรับๆ)
     พระราชาทรงพอพระทัย ที่ได้ยินเสียงนกร้องปฏิสันถารเช่นนั้น เมื่อพวกฤๅษีกลับมา จึงทรงเล่าเรื่องนกทั้งสองให้พวกฤๅษีทราบ
      พวกฤๅษีจึงถวายพระพรว่า นกแขกเต้าสองตัวนี้ เดิมอยู่ในสิ่งแวดล้อมเดียว ภายหลังถูกพายุพัดพาไปตกคนละที่ ตัวนั้นอยู่กับพวกโจร จึงกล่าววาจาหยาบเลียนแบบพวกโจร ส่วนตัวนี้อยู่กับพวกอาตมา จึงพูดจาไพเราะดังที่เห็นนี้
     ม้ามงคล
ม้าทรงพระราชาพระองค์หนึ่ง มีคนเลี้ยงชื่อ สิริทัต เป็นคนขาเดี้ยง เดินกะโผลกกะเผลก เวลาคนเลี้ยงม้าจูงม้า แกก็เดินกะเผลกตามลักษณะของคนขาเดี้ยง ม้าเดินตามหลัง เห็นเจ้านายเดินอย่างนั้น จึงกระทำตามบ้าง
     จนวันหนึ่ง พระราชาทรงสังเกตเห็นม้าเดินผิดปกติ จึงรับสั่งให้ตามสัตวแพทย์มาตรวจว่าม้าป่วยเป็นโรคอะไร สัตวแพทย์ตรวจเช็กอาการโดยละเอียดก็ไม่พบอะไรผิดปกติ พระราชารับสั่งว่า มันต้องมีสิ ไม่อย่างงั้น ม้าข้ามันจะเดินขาเดี้ยงอย่างนั้นได้อย่างไร ตรวจดูให้ดีอีกครั้งซิ สัตวแพทย์ก็ตรวจโดยละเอียดอีก ก็ไม่พบสาเหตุ มึนอยู่ตั้งนาน พลันสายตาเหลือบเห็นคนเลี้ยงม้าโขยกเขยกเข้ามา ก็นึกได้ จึงกราบทูลพระราชาให้ลองเปลี่ยนคนเลี้ยงม้าดู ม้าอาจจะอาการดีขึ้นก็ได้
    เมื่อเปลี่ยนคนเลี้ยงม้าให้เป็นคนขาดีแล้ว สักพักเท่านั้น ม้าของพระราชาก็เดินเป็นปกติ ไม่เดินขาเดี้ยงอีกต่อไป
    เล่านิทานเรื่องนี้แล้ว ผู้แต่งคัมภีร์ก็สรุปว่า...นี่แหละคืออิทธิพลของการอยู่ใกล้ชิดกัน
    ม้าขาไม่เดี้ยง แต่คนเลี้ยงขาเดี้ยง ม้าก็เลยเดินตามคนเลี้ยงที่ขาเดี้ยง นานวันเข้าก็เลยกลายเป็นม้าขาเดี้ยงไปด้วย  เรื่องมันก็เป็นประการฉะนี้แล...
พุทธศาสนสุภาษิต  โน เจ ลเภถ นิปกํ สหายํ  เอโก จเร น จ ปาปานิ กยิรา
ถ้าไม่ได้สหายที่มีปัญญาปกครองตน  พึงเที่ยวไปคนเดียว และไม่พึงกระทำความชั่ว

อย่าสำคัญตน

อย่าสำคัญตน