Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๕ Q
ท่านตรัสตอบว่า สัมพเกษี วิธีป้องกันนะ การยึดเหนี่ยวสถานที่หรือบุญกุศลที่ได้แล้วมันเป็นของไม่ยาก พวกเธอจะเรียนกันมากไปนะ เวลาที่เธอเทศน์เธอก็เทศน์มากไป สอนชาวบ้านก็สอนมากไป แต่การสอนมากก็ให้เป็นไปตามอัธยาศัยของคน ก็เป็นของธรรมดานะสัมพเกษีนะ แม้แต่ตถาคตเองก็เหมือนกัน ต้องสอนถึงแปดหมื่นสี่พันพระธรรมขันธ์ทั้งนี้ก็เพราะว่าอัธยาศัยของคนไม่เหมือนกัน คนกลุ่มนี้พูดอย่างนี้รู้เรื่อง คนกลุ่มโน้นพูดอย่างนี้ไม่รู้เรื่อง ต้องพูดกันใหม่ เธอกลับลงไปบันทึกเสียงเข้าไว้นะ บอกว่าตถาคตบอกว่าอย่างนี้ ให้ลูกหลานของเธอทุกคนหรือบริษัทของเธอทุกคนเขาตั้งใจไว้อย่างฉันพูดนะ การจะไปสวรรค์ก็ดี ไปพรหมโลกก็ดี ไปนิพพานก็ดี เป็นของง่าย ไม่ใช่ของยาก ไม่ใช่ยากอย่างที่นักปราชญ์ในโลกเขาพูดกันเวลานี้ เวลานี้บรรดานักปราชญ์ทั้งหลายนิยมความยาก สิ่งไหนก็ตามที่มันยากเขาถือว่ามันดี เป็นแบบฉบับที่ถูกต้อง แต่ว่าฉันเห็นว่านั่นไม่ถูก ถ้าตามคติของฉัน คำว่าฉันในที่นี้ไม่ใช่ตัวฉันเองนะ พระใหญ่ท่านพูด พระใหญ่ท่านใช้คำแทนตัวท่านว่า ฉัน จำให้ดีนะ ฉันว่าไม่ถูก เพราะสอนคนหรือพูดให้คนเข้าใจง่ายนั่นดี และวิธีปฏิบัติเพื่อผลที่จะพึงได้ให้ง่ายๆที่สุดนั่นแหละดี เรียกว่าทำง่ายที่สุดและได้ผลมากที่สุด อันนี้ดีกว่า ดีกว่าหาวิธีการที่สอนให้มันยากที่สุดแล้วได้น้อยที่สุด อย่างนี้ไม่ดี ไม่ใช่ความประสงค์ของฉัน
สัมพเกษี เตือนบริษัทและลูกหลานของเธออย่างนี้นะว่า ให้ทุกคนรู้ตัวแล้วว่ามีวิมานอยู่บนสวรรค์ชั้นกามาวจร เมื่อเวลาที่เขาจะทำความชั่วอะไรมาก็ช่างเถิด ..เวลาก่อนจะนอนให้นึกถึงความดีที่ทำไว้ ขึ้นชื่อว่าความชั่วทั้งหลายปล่อยมันไป คิดนึกถึงแต่ความดี... แล้วเอาใจนี่จับไว้ว่านี่เรามีวิมานแก้ว ๗ ประการไว้บนสวรรค์ชั้นกามาวจรแล้ว เวลาเราจะตายเราจะไปอยู่วิมานนั้น ถ้าเวลาป่วยไข้ไม่สบายไม่ต้องเอาอะไร นึกถึงคุณพระรัตนตรัย คือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ จะนึกถึงพระพุทธก็ได้ พระธรรมก็ได้ พระสงค์ก็ได้ สิ่งก่อสร้างก็ได้ อย่างใดอย่างหนึ่งไว้ในใจ แล้วก็ตั้งใจว่าเราจะไปอยู่วิมานของเราที่มีอยู่แล้ว ตั้งใจเพียงเท่านี้นะ ถ้าตายเขาจะถึง “สวรรค์” ชั้นกามาวจรทันที
พวกที่จะไปพรหมโลกก็เป็นของไม่ยากนะ สัมพเกษี บอกเขานะว่าคนที่ต้องการไปพรหมโลกน่ะ คืนหนึ่งให้สร้างความดี ๑๐ นาที ตอนกลางวันมันอาจจะเลว เอาดีกันตอนกลางคืน นั่งนับลมหายใจเข้าออกก็ตาม นั่งก็ได้ นอนก็ได้ ยืนก็ได้ เดินก็ได้ ...นับลมหายใจเข้าออกก็ได้ หรือจะนึกถึงพระกรรมฐานกองใดกองหนึ่งก็ได้ เพียง ๑๐ นาที ให้รู้ลมหายใจเข้าหายใจออกเท่านี้ก็พอ...เวลาตายแล้วเป็น “พรหม” แน่
อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๖-๓๗ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี