24.10.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๓



Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๓ Q

ปีนี้รู้สึกว่ามันแก่มาก มันใกล้ตายมาก จึงได้เอาหีบศพมาตั้งคอยไว้ คิดว่าจะซ้อมกสิณน่ะ มันมีฤทธิ์ก็จะเก็บฤทธิ์เข้าไว้ เมื่อเวลาจิตจะตายบันดาลร่างกายให้เข้าไปนอนในหีบศพคิดไว้แค่นี้องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าท่านมาทรงยับยั้ง เมื่อท่านยับยั้งหลายวาระแล้วนี่เรียกว่าหลายคราวแล้ว จะให้ท่านว่าทุกคราวก็ไม่ถูก ต่อไปนี้เห็นจะงดกัน ไม่เอาล่ะ อารมณ์อีลุ่ยฉุยแฉกแบบนี้ไม่เอา เลิกกัน มันจะตายด้วยวิ๔ทางแบบไหนก็ปล่อยตามใจมัน มันอยากตายดีก็ให้มันตาย ตายชั่วก็ให้มันตาย ตายแบบไหนก็ตาม ฉันไปนิพพานได้ก็แล้วกัน ช่างมัน ร่างกายจะเป็นยังไงช่างมัน เอาแบบช่างเถอะตามเดิมกันนะ แบบวิชาลูกเสือที่เขามือโบกๆ ปัดจมูก ไอ้สัญญาอันนี้ฉันแปลว่าเหฒ้นขี้หมา เอามือโบกๆ ข้างหน้า แต่เขาแปลว่าช่างเถอะตามเดิม ทีนี้ฉันจะเอาแบบนั้น

นี่หันมาพูดเรื่องวิมานกันใหม่ แล้วท่านก็บอกว่าวิมานขั้น “ทวดา” น่ะ บริษัทของเธอมีวิมานแก้ว ๗ ประการเหมือนกันหมด แต่ว่าวิมานใดที่ประกอบไปด้วยกระแสไฟบูชาพระรัตนตรัยหรือให้ไฟเป็นประโยชน์สาธารณะ วิมานนั้นก็มีแสงสว่างมากกว่าวิมานอื่น ลุงเสริมนี่แกทำบุญเงียบ อึกอักแกก็คว้าสตางค์มาหมื่นห้าพันบาทให้ต่อไฟฟ้าเข้าวัด นี่เรียกว่าเป็นเจตนาเงียบๆ ทำหมกๆ ที่เรียกว่าไม่ประกาศ ไม่ประกาศกึกก้อง ไม่ชักชวนใคร ทำด้วยกำลังใจแท้ๆ หวังให้ประโยชน์ความสุขแก่พระพุทธศาสนา หมายความว่าคนที่เดินผ่านวัดผ่านวาก็มีใจชุ่มชื่น เห็นแสงไฟก็มีใจสบาย เวลาดึกดื่นๆ น่ะฉันเคยเดิน สมัยโน้นเมื่อเป็นหนุ่มๆ ตี ๒ ตี ๓ ฉันเดินอยู่กลางทุ่งเงียบสงัด มีแต่เสียงจักจั่นเรไร จิ้งหรีดมันร้อง รู้สึกวังเวงใจ เดินอยู่คนเดียว แต่พอมองเห็นแสงไฟบ้านใครไกลประมาณ ๔-๕ กิโลริบหรี่ๆ อยู่ กำลังใจมันก็ชุ่มชื่น นี่ขั้นไฟเล็กๆน่ะ นี่ท่านเจ้ากรมเสริมมาทำไฟใหญ่ไว้ให้

แล้วคุณสรรเสริญก็พลอยต่อท้าย แล้วก็มีครูนนทา อนันตวงษ์ พระครูปลัดผ่องตามเป็นแถว วิมานประเภทนี้ มีคนพลอยโมทนาด้วยก็ดี ที่ทำก็ดี ย่อมมีความสดใส อันนี้เวลาลูกหลานทั้งหลายฟังแล้วจะหาว่าฉันลำเอียงนะ นี่ฉันพูดตามความเป็นจริง ใครอยากจะให้สดใสตามนั้นบ้างก็เอาไฟฟ้าเข้าวัดหรือสาธารณประโยชน์ หรือไม่มีที่จะเข้ามาช่วยกันเสียค่ากระแสไฟฟ้าก็ได้ เพราะถ้าไม่มีสตางค์เสียค่าไฟฟ้า ถึงแม้จะมีอุปกรณ์มีหลอดอยู่แล้ว แสงไฟมันก็ไม่ปรากฏ นี่เราก็ยังมีส่วนที่พึงได้บุญอยู่นะ ที่วัดฉันก็ได้นะ ที่วัดไหนก็ได้ ฉันไม่ได้จำกัดนะ การทำบุญไม่ใช่ว่าจะได้บุญแต่เฉพาะทำที่ฉันคนเดียว

ลูกหลานทำบุญกับฉันน่ะมันทำกับขโมยนะ เห็นไหมล่ะ นี่เมื่อวานซืนนี้น่ะวันที่เท่าไหร่ ๑๗ ฉันขโมยเงินค่าอาหารไปพิมพ์หนังสือเสียบ้าง พิมพ์หนังสือร่ำรวยคาถาพระปัจเจกพุทธเจ้า ซื้อยาน่ะไม่เป็นไร ไปซื้อรถเข็นทรายเข็นกรวดเสียบ้าง เอาไปช่วยคนแก่คนไข้ไม่สบายเสียบ้าง นี่ฉันน่ะมันเป็นต้นขโมยเสียด้วย แล้วก็ขโมยมานาน แถมขโมยเงินของลูกของหลานเอาไปสร้างบ้านเรือน เออ..อย่าว่าคนแก่เลยนะลูกหลานนะ ก็ทำมาหากินเองไม่ได้นี่ เมื่อทำกินเองไม่ได้มันก็ต้องขโมยแบบนี้แหละ แต่ขโมยแบบนี้ไม่มีเวรมีภัยนะลูกหลานนะ ไม่เป็นไรเพราะห่วงลูกห่วงหลานเกรงว่าจะเป็นคนจน นี่ลูกหลานฉันคนไหนที่มีบุญบารมีถึงกามาวจรสวรรค์จัดว่าตกอยู่ในฐานะคหบดีแล้ว ฉันดีใจ ดีใจที่พระใหญ่ท่านบอกว่าครบถ้วนบริบูรณ์ ท่านว่าแล้วก็พาไปชี้วิมานให้ดูว่า คุณเห็นไหม วิมานเขาสวยสดงดงามขนาดนี้ แล้วก็ชี้วิมานเงิน วิมานทอง วิมานแก้วธรรมดา วิมานแก้ว ๓ ประการ วิมานแก้ว ๕ ประการ นั้นมีความสวยสดงดงามไม่เท่ากัน มีความสง่าผ่าเผยไม่เท่ากัน ฉันปลื้มใจ ปลื้มใจที่ลูกหลานของฉันเป็นคนรวย......


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๓๒-๓๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี


คนมีธรรม