Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๘ Q
ที่ท่านนิมนต์ให้ไปนี่ถ้าคิดว่าว่างก็คงไม่ไป เรื่องนิมนต์เวลานี้รับยาก ใครนิมนต์ยาก ไม่ค่อยจะรับ โดยเฉพาะอย่างยิ่งท่านนิมนต์ให้ไปเป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า ถ้าบวชองค์ใหญ่เห็นจะเอา คือบวชพระประธาน บวชองค์ ๕ นิ้ว กับ ๙ นิ้ว นี่ไม่เห็นด้วย เพราะสร้างพระแบบนี้แล้วก็ขายกันสำหรับให้ไปบูชาน่ะ ไอ้บูชากับขายมันก็เหมือนกัน เช่า บูชา ขาย เหมือนกัน ขายกันก็ตั้งราคาสิ ใช่ไหมล่ะ ไอ้ศัพท์นี่มันเหมือนกัน จะว่ามันยิ่งหย่อนกว่ากันนั้นไม่ได้ อย่างคำว่าเสวยของพระราชา แล้วก็รับประทาน ทาน กิน เจี๊ยะ ยัดห่า สวาปาม ก็เป็นอันว่ากินเข้าไปอิ่มท้องเหมือนกัน มันมีค่าเสมอกัน เป็นแต่เปลี่ยนศัพท์ให้แตกต่างไปเท่านั้น การสร้างพระขายแบบนี้ฉันไม่เห็นด้วย ฉันไม่เคยขาย
พระพุทธรูปเล็ก ฉันเคยสร้าง สร้างทีไรขาดทุนทุกที ฉันอยู่วัดบางนมโค สร้างพระพุทธชินราชขนาด ๑๐ นิ้ว ทองน่ะฉันหาของฉันเองนะ ช่างเขาเอาค่าแรงงาน ๒๕๐ บาท ฉันประกาศเท่านั้น มีชาวบ้านมารับเท่านั้น ฉันขาดทุนค่าทอง ค่าพาหนะ ไม่ขาย หากว่ามาถามว่าทำไมไม่เอากำไร หันหน้าไปหาลุงพุฒิแกสิ แกบอกเอาสิเอาสิ อีขุมนี้จะได้จดลงไปชื่อหนึ่ง ฮึ! กำลังหันหน้ามายิ้มแหยบอกว่า ว่าเอากำไรสิ ทีนี้พูดถึงว่าเอากำไร แต่ทว่าเขาเอาไปสร้างถาวรวัตถุ หมายความไปสร้างความดีเป็นศรีของพระศาสนามันก็ดีไป แต่ทว่ากำไรเอาไปสร้างในทางที่ผิดก็แย่เหมือนกัน
อันนี้ไม่ได้ประณามท่านนะ แต่ว่าไม่เห็นด้วย แล้วอีกประการหนึ่ง ในฎีกาท่านบอกว่าขอให้ไปร่วมงานและสวดลักขี อ้ายเรื่องสวดๆ นี่ฉันเห็นว่าเป็นพระเพณีมากเกินไป สวดกันแต่อิติปิโสฯ ก็เหลือแหล่แล้ว ฉันไม่เอาด้วย ต่อไปฉันไม่เอาด้วย ฉันเหนื่อย เหนื่อยแล้วไม่ได้ประโยชน์แล้วจะเอามาทำไม ทำให้มันเหนื่อยทำไม ไม่เอา ยังไม่ได้ตอบจดหมายเขาไปเลย เมื่อวันก่อนมีคนเขามาตั้งให้เป็นอธิบดีกรมตำรวจ และพร้อมกันวันเดียวก็ตั้งให้เป็นพระยายม เมื่อวานนี้มีคนมาตั้งให้เป็นอุปัชฌาย์บวชพระพุทธเจ้า แล้วก็ส่งมาทางจดหมาย นี่ฉันมันก็ไม่ใช่เล่นเหมือนกันนะ วาสนาบารมีมันไม่ใช่เล่นเชียวนะ มันสูงมาก ขนาดเป็นอุปัชฌาย์พระพุทธเจ้านี่ไม่ใช่เรื่องเล็ก ดูพ่อทำกันเถอะ
ต่อไปนี้มาว่ากันถึงเรื่องหลวงพ่อปานกันดีกว่า เรื่องอารัมภบทนี่ว่าจะไม่ให้มีมันก็อดไม่ได้ ตอนต้นเป็นพระพุทธบัญชานะ พระพุทธบัญชานี่ชัดไม่ได้ เพราะเป็นประโยชน์ หากไม่เป็นประโยชน์ท่านก็คงไม่บอกมา ตัวฉันเองมันเป็นคนบกพร่อง เป็นคนไม่ครบถ้วนบริบูรณ์ ฉันเคยบอกแต่ต้นแล้วว่า ฉันเป็นคนไม่เต็มบาทเต็มสลึง ถ้าคนเต็มบาทเต็มสลึงก็ไม่บกพร่องความดีของลูกหลานพูดไม่หมด โดนพระดุเข้ามาต้องมานั่งพูดใหม่ ก็เป็นความดี ไม่โกรธท่านและไม่คิดอะไรกับท่าน รู้สึกว่าท่านมีพระคุณสูง เป็นพระคุณล้นเหลือที่ทรงตักเตือน เอ้า! ว่ากันถึงหลวงพ่อปานต่อไป
เมื่อวานเรื่องของหลวงพ่อปานมาจบเอาตอนกสิณน้ำ “อาโปกสิณ” ลูกหลานฟังให้ดีนะ ทีนี้เรื่องของกสิณจะเล่าอย่างลัดๆ เพราะอะไร เพราะว่าสมาธิจิตนี่ถ้าเราทำให้ได้ถึงฌาน ๔ เพียงอย่างเดียว อย่างอื่นอีก ๓๙ กองไม่มีอะไรยากเลย มันเหมือนกัน เปลี่ยนนิดๆ หน่อยๆ อย่างมากก็ ๒-๓ วันเข้าอันดับ ไม่มีอะไรมาก ถ้าชอบใจกองไหนทำกองนั้นให้มันทรงตัว แล้วก็ฝึกการทรงฌานไว้ให้ดี จะเป็นกสิณหรืออะไรก็ตาม มาพูดถึงเรื่องกสิณก็เหมือนกัน นักปฏิบัติใหม่ๆ บางราย หลายรายล่ะ พอพูดถึงกสิณก็ทำตาโต เล่นกสิณเชียวหรือ เป็นอย่างนั้นอย่างนี้ไป ดูท่าทางเป็นของอัศจรรย์ ความจริงมันไม่มีอะไรมากมายหรอกหนาลูกหลานนะ เหมือนกับกรรมฐานทุกกอง มีคุณค่าเหมือนกัน คือทำจิตให้เป็นสมาธิเท่านั้น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้หลายแบบก็เพราะอัธยาศัยของคน วาสนาบารมีของคนไม่เสมอกัน ก็บอกวิธีการไว้เท่านั้น ไม่ใช่อะไรจะวิเศษวิโสเกินกว่ากันหรอก เป็นการทรงสมาธิ แต่หากว่ารักจะทำอภิญญาเท่านั้นแหละ จะต้องใช้กสิณเป็นพื้น แต่ว่าสมาธิก็ไปทรงอยู่ระดับฌาน ๔ เหมือนกัน ไม่มีอะไรมากเลย เวลาใครเขาพูดกันถึงเรื่องกสิณเป็นเรื่องอัศจรรย์ บอกเขาด้วยว่าเคยทำหรือเปล่า คนไม่เคยเห็นผีมันก็กลัวผีเกินพอดี แต่เห็นผีเสียแล้วไม่มีความรู้สึกอะไร นี่เป็นเรื่องของธรรมดานะ เอา!มาว่ากันต่อไป
อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๔๐-๔๒ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี