10.11.18

สุคติภูมิ – ตอนที่ ๒


๐๐๐ สุคติภูมิ – ตอนที่ ๒ ๐๐๐

Q พรหม Q ทีนี้ความรู้สึกของพรหม ก็พอดีพรหมที่ท่านเป็นฌานโลกีย์ท่านเข้ามา ก็เลยถามท่านว่า “พรหม” ซึ่งแปลว่าผู้ประเสริฐ ประเสริฐยิ่งกว่าเทวดานั้น ก็อยากจะทราบว่า ความรู้สึกของพรหมที่เป็นฌานโลกีย์นี่ไม่เรียกว่ากามาวจร ก็เพราะว่าความใคร่ไม่มี เพราะ “พรหมอยู่ผู้เดียว ขึ้นชื่อว่าสามี ภรรยา บุตรธิดา ไม่มี คำว่าบริวารนั้นหมายถึงพวกพ้อง ต่างคนต่างอยู่วิมานคนละหลัง ฉะนั้น อารมณ์เนื่องถึงกันในฐานะต่างๆ จึงไม่มีในพรหม พรหมเขาอยู่ด้วยอำนาจธรรมปิติเฉยๆ” คำว่าเฉยๆ ถ้าท่านจะคุยกันก็คุยกันด้วยธรรมปิติ ดังนั้นพวกพรหมจึงมีอารมณ์สงบกว่าเทวดา ไม่กังวลอย่างเทวดาเขาเลยเบากว่าเทวดา ขึ้นชื่อว่าการละขันธ์ ๕ มาที่นี่มีใครเขาเอาขันธ์ ๕ ขึ้นมาหรือเปล่า ก็ไม่มีใครตอบว่าเอาขันธ์ ๕ ขึ้นไป เพราะขันธ์ ๕ มันอยู่ข้างล่าง

คำว่า “ขันธ์ ๕” น่ะมันต้องอยู่ที่ร่างกาย

“ รูป “ คือรูป
“ เวทนา “ ของขันธ์ ๕ มันต้องมีทั้งสุขเวทนา ทุกขเวทนา แล้วก็อทุกขมสุขเวทนา คือ ไม่สุข ไม่ทุกข์ มีอารมณ์เฉยๆ แต่ว่าเวทนาในที่นี้มันเต็มไปด้วยอารมณ์ทุกข์ ไม่สุขจริง
“ สัญญา “ คือความจำ
“ สังขาร “ คืออารมณ์ที่ปรุงแต่งใจ มีทั้งอารมณ์ดี อารมณ์เลว และก็อารมณ์ไม่ดี อารมณ์ไม่เลว อารมณืดีเขาเรียกว่า “ปุญญาภิสังขาร” อารมณ์ที่ไม่ดีเขาเรียกว่า “อปุญญาภิสังขาร” แล้วก็อารมณ์ที่เฉยๆ เขาเรียกว่า “อเนญชาภิสังขาร”
“วิญญาณ” ก็คือประสาท

ส่วนทั้งหมดนี้มันติดอยู่กับร่างกาย เวลาที่ร่างกายพังมันก็สลายตัวหมด ส่วนที่เคลื่อนออกไปมันมีแต่จิต จิตที่ออกไปมันจะไม่นำส่วนหนึ่งของร่างกายคือขันธ์ ๕ ไปด้วย ถ้าไปเป็นเทวดา พรหม หรือเข้าพระนิพพานก็จะมีแต่ความสุข

Q มนุษย์ Q สำหรับมนุษย์เรามีสุขเวทนา และ อทุกขมสุขเวทนา สุขเวทนาก็หมายถึงอารมณ์ที่เป็นสุข จัดเป็น “สามิสสุข” สามิสสุขเมื่อร่างกายมีอยู่ “มันก็เป็นความสุขที่อิงไปด้วยอามิส จะต้องอิงด้วยวัตถุ อิงด้วยอารมณ์ ได้เงินได้ทองมาจิตใจมีความสุข ได้คนได้สัตว์มาจิตใจมีความสุข” หรือไม่อย่างนั้นก็เป็นสุขอิงด้วยอารมณ์ เช่นได้รับคำชมเชยอย่างนี้เป็นต้น อย่างนี้จัดว่าเป็นอามิสสุข แต่เทวดาก็ดี พรหมก็ดี หรือผู้ที่เข้าถึงพระนิพพานไปแล้วก็ดี จัดว่าเป็นนิรามิสสุข คือสุขที่ไม่อิงอามิส จะเห็นได้จากจิตของผู้เข้าถึงธรรมะ ขณะจิตใดที่จิตพอใจในธรรม ขณะนั้นจิตจะมีความสุข อย่างสุขในกรรมฐานนี้จัดเป็นนิรามิสสุข แต่มันก็สุขชั่วคราว เดี๋ยวเราก็ย่องไปหาสุขที่อิงด้วยอามิส ความจริงที่เราเข้าใจว่าสุขที่มันอิงด้วยอามิสน่ะ มันเป็นสุขไม่จริง มันจะมีทุกข์ตามมาด้วยเสมอ เช่นได้เงินมามากก็กลัวจะถูกปล้น ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ ได้เงินมากินข้าวไม่ลง ทุกข์ทั้งนั้น อย่างตายิ้มแกมีโรงเลื่อย แกมีโรงสี มีโรงน้ำแข็ง ถูกล็อตเตอรี่รางวัลที่ ๑ เข้าหุ้นกัน แกมีส่วนแบ่งได้ ๔ พันบาท ไม่กินข้าวไป ๓ วัน กินแต่น้ำชากาแฟ เลยถามแกว่า...โยม ไอ้ทรัพย์สินของโยมมันมีมากกว่านี้เยอะ ทำไมได้เงินแค่นี้ถึงดีใจมาก.... ไม่รู้มันเป็นยังไงครับ เงินผมมันมีมากกว่านี้เยอะ ไอ้นี่มันเงินที่ได้มาลอยๆ มันอิ่มไปเฉยๆๆ... นี่ไอ้เงินที่ได้มาเฉยๆ นะ จะทำให้แกตายโดยไม่รู้ตัว นั่นมันเป็นสามิสสุข คือสุขที่อิงด้วยอามิส พอเริ่มสุขก็จะเริ่มทุกข์ตามมาทันที...

ทีนี้มาถึงเทวดา “เทวดา” เขาก็มี “นิรามิสสุข” เขามีเฉพาะนิรามิสสุข เขาไม่มีสามิสสุขอย่างเรา สุขของเขาเป็นทิพย์ แต่สุขของเราเมื่อพบแล้วมีทุกข์ทันที ไม่เคยมีผัวอยากมีผัว พอได้มาแล้วก็ทุกข์เลย ไม่เคยมีเมียอยากมีเมีย มีแล้วมันก็ทุกข์ ไม่เคยมีลูกก็อยากได้ลูก คราวนี้ทุกข์บรรลัยเลย ฉิบหายไม่รู้เท่าไร มีลูกคนหนึ่งเดี๋ยวนี้แสนหนึ่งพอซะเมื่อไหร่ล่ะ กว่าจะเลี้ยงกันโต ดีไม่ดีเขามีผัวมีเมียแล้ว ยังมาไถพ่อไถแม่อีก นิรามิสสุขของเทวดายังอิงกามารมณ์ ไอ้กามารมณ์ตัวนี้อย่าไปนึกว่าเป็นความใคร่ระหว่างเพศนะ มันอิงอยู่นิดเดียวตรงที่มีความเนื่องถึงกัน และก็ยังมีความกังวลอยู่หน่อยหนึ่ง เกรงว่า ลูก หลาน สามี ภรรยา หากว่าอารมณ์พลาดไปก็อาจจะต้องไปอบายภูมิ แต่ว่าความหนักใจเขาไม่มีหรอก ความห่วงใยอย่างอื่นก็ไม่มี มันมีพันธะติดอยู่นิดเดียวก็ตรงที่มีความเนื่องกันก็เท่านั้นเอง

สุขของพรหม “พรหม” เป็นนิรามิสสุข” สุขแท้ เพราะว่าไม่อิงอามิส ไม่เกาะเนื่องใดๆ ทั้งหมด “แต่ว่าพรหมก็ยังมีกังวลอยู่บ้าง ถ้าเป็นพรหมฌานโลกีย์ก็จะต้องพยายามทำตัวให้เข้าถึงความเป็นพระอริยเจ้าให้ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต่ำ ก็ต้องขยับฐานะไปสู่ความเป็นพระอริยเจ้าเบื้องสูงให้ได้ ถ้าเป็นพระอริยเจ้าขั้นอนาคามี ก็ต้องทำตนให้เป็นพระอรหันต์” ก็ยังชื่อว่ามีความกังวลอยู่ใช่ไหม เพราะยังไม่เสร็จ...

อ้างอิง – คำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า ๒๔-๒๗ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

คนมีธรรม