11.3.19

สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน


สารพันปัญหาว่าด้วยเรื่องทาน


ผู้ถาม"การที่เราทำบุญใส่บาตรตามหน้าบ้านกับพระที่เรารู้จักตามวัดกับการไปทำที่วัดอันไหนจะมีอานิสงส์มากกว่ากันเจ้าคะ ?"

หลวงพ่อ"คือว่าการใส่บาตรตามหน้าบ้าน ไม่เฉพาะเจาะจงพระอะไรมาก็ใส่อย่างนี้ก็เป็นสังฆทาน ทีนี้ไปใส่บาตรตามพระที่ชอบใช่ไหม ?"

ผู้ถาม"ไม่ใช่ชอบค่ะ คือว่าศรัทธาค่ะ"

หลวงพ่อ"ชอบกับศรัทธาก็ครือกันล่ะ ถ้าศรัทธาฉันตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป เป็นสังฆทาน มีอานิสงส์เหมือนกัน แต่ถ้าหากท่านฉันตั้งแต่ 1 รูป ถึง 3 รูป อย่างนี้เป็นปาฏิปุคคลิกทาน"

ผู้ถาม"มีอานิสงส์มากไหมคะ ?" 

หลวงพ่อ"มีโยม ถ้าเป็นปาฏิปุคคลิกทานถ้าจัดกันตามลำดับแย่นะ ไล่เบี้ยตั้งแต่ให้ทานกับคน ไม่มีศีล จนถึงพระอรหันต์มีอานิสงส์ไม่เท่ากัน แต่จะพูดสรุปโดยย่อว่าถวายทานกับพระอรหันต์ 100 ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายทานกับพระพุทธเจ้า1 ครั้งถวายทานกับพระพุทธเจ้า 100 ครั้งมีผลไม่เท่ากับถวายสังฆทาน 1 ครั้งและถ้าถวายสังฆทาน100 ครั้งมีผลไม่เท่าถวายวิหารทาน 1 ครั้ง คือสร้างวิหาร มีการก่อสร้าง เช่นสร้างส้วมศาลาการเปรียญ กุฏิ โบสถ์ วิหาร เป็นต้นการถวายสังฆทาน 1 ครั้งในชีวิตและถวายด้วยจิตที่บริสุทธิ์ มีศรัทธาแท้ พระพุทธเจ้าทรงกล่าวว่า ผลของ สังฆทานนี้จะดลบันดาลให้แก่บุคคลผู้ถวาย เกิดไปทุกชาติขึ้นชื่อว่าความยากจนเข็ญใจไม่มีในแดนใดที่เต็มไปด้วยความทุกข์ยากลำบากขัดสน ท่านกล่าวว่าแม้แต่พระพุทธญาณเองก็ยังไม่เห็นผลที่สุดของการถวายสังฆทานคำว่า"ไม่เห็นที่สุดของการถวายสังฆทาน"หมายความว่า แม้แต่บุคคลผู้เป็นเจ้าของสังฆทานบำเพ็ญบารมีแล้วแล้วเกิดไปอีกกี่แสนชาติก็ตาม จนกระทั่งเข้าพระนิพพานอานิสงส์นั้นก็ยังไม่หมดนี่เป็นอำนาจของการถวายสังฆทานอานิสงส์มันต่างกันลายแสนเท่าแล้วก็ยังมีอีกเวลาหนึ่ง ถ้าพระออกจากสมาบัตินี่คูณหนักเข้าไปอีกไม่รู้เท่าไรทีนี้การถวายสังฆทานแก่พระมีผลไม่เสมอกันอยู่อย่างหนึ่ง คือหมายความว่าถวายทานแก่พระที่มีจิตกำลัง ฟุ้งซ่านไปด้วยอำนาจของนิวรณ์ 5 ประการอย่างนี้เราถวายกี่หมื่น กี่แสน อานิสงส์มันก็ไม่มาก ถ้าหากว่าถวายแก่ท่านผู้ปฏิบัติกรรมฐาน ถ้าหากเข้าถึงจิตบริสุทธิ์เรื่องบริสุทธิ์แค่ไหนก็ช่าง อย่างน้อยที่สุดก็มีขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิบางท่านก็เข้าถึงฌานสมาบัติ บางท่านที่เป็นพระอริยเจ้าก็เข้าถึงผลสมาบัติถ้าถวายทานกับท่านที่ออกจากนิโรธสมาบัติ หมายความว่า ให้คนเดียวนะก็ให้ผลปัจจุบันทันด่วน ให้ผลวันนั้นเลย"

ผู้ถาม "แล้วอย่างการใส่บาตร โดยเราลงมือใส่เองกับให้ลูกจ้าง คือเด็กของเราใส่แทนอย่างไหนจะได้บุญมากกว่ากันคะ ?" 

หลวงพ่อ" เราไปไม่ได้ แต่ให้คนอื่นไป ได้บุญเท่ากันแต่เราใส่เอง เราเกิดความปลื้มใจอันนี้ได้กำไรอีกนิด แต่ผลของทานมันเสมอกัน"

ผู้ถาม "เวลาเราใส่บาตรไปแล้วถ้าหากว่าพระไม่ได้ฉันอาหารของเรา เราจะได้บุญไหมคะ ?"

หลวงพ่อ "บุญมันเริ่มได้ ตั้งแต่คิดว่าจะให้แล้วนะพระจะฉันหรือไม่ฉัน ไม่ใช่ของแปลก คือการให้ทาน ตัวให้นี่มันตัดความโลภและตัวให้นี่กันความจน ในชาติหน้า อันดับรองลงมา "ทานัง สัคคโส ทานัง"ทานเป็นบันไดให้เกิดในสวรรค์ ทีนี้ พอเราเริ่มให้ปั๊บ มันเริ่มได้ตั้งแต่เราตั้งใจการตั้งใจนะ มันตัดสินใจเด็ดขาดแล้วนะ เช่นคิดว่าพรุ่งนี้จะใส่บาตร ข้าวขันนี้เราไม่กินแน่นอน คิดว่าเราจะไม่กินเองตั้งแต่วันนี้คิดว่า จะใส่บาตรนี่บุญมันเกิดตั้งแต่เวลานี้ แต่พอถึงพรุ่งนี้ ต้องใส่จริงๆนะอย่านึกโกหกพระไม่ได้นะ ไม่ใช่แกล้งนึกทุกวันๆ คิดว่านึกได้บุญ เลยไม่ได้ใส่บาตรสักทีนี่ดีไม่ดีฉันพูด ไปพูดมา เสียท่าเขานะแต่คิดว่าจะทำจริงๆนะ คือพรุ่งนี้จะใส่บาตรแน่ๆแต่ว่าวันนี้เกิดตายก่อน นี่ได้รับ 100 เปอร์เซ็นต์ก็อย่างที่พระพุทธเจ้าบอกนั่นแหละ"เจตนาหัง ภิกขเว ปุญญัง วทามิ"ดูก่อนภิกษุทั้งหลายเรากล่าวว่าตัวตั้งใจเป็นตัวบุญพระพุทธเจ้าบอกว่ามันมีผลตั้งแต่การตั้งใจเริ่มสละออกพอคิดว่าเริ่มจะทำอารมณ์มันตัด ตั้งแต่ตรงนั้นแล้ว ถือว่าไม่ได้เป็นของเราแล้วมันได้ตั้งแต่ตอนนั้น"

ผู้ถาม"หลวงพ่อคะ การใส่บาตร วิระทะโย มีอานิสงส์อย่างไรคะ ?
หลวงพ่อ"อานิสงส์เท่ากับ ถวายสังฆทานธรรมดา ไม่ต่างกันอานิสงส์เหมือนกันหมด แต่ว่าใช้วิระทะโย ( คาถาภาวนากันจน ) มันมีผลปัจจุบันชาตินี้ทำให้เงินไม่ขาดตัว ถ้าใส่ บาตรทุกวัน สวดมนต์ทุกวัน ถ้าจะหมดก็มีมาต่อจนได้ ถ้าแบ่งเวลาทำสมาธิล่ะก็ ขลังมากรวยมากหน่อย"

ผู้ถาม"เห็นพระบางองค์ดูลักษณะไม่สำรวมท่านวนเวียนคอยรับบาตร บ้านคนโน้นคนนี้แล้วก็ถ่ายใส่ถัง ถ้าเราไม่ใส่บาตรพระแบบนี้เราจะบาปไหมคะ ?" 
หลวงพ่อ "บาป เขาแปลว่า ชั่วบุญ เขาแปลว่า ดีถ้าเราไม่ใส่ก็ไม่ชั่วตรงไหนนี่เพราะ ว่ามันเป็นทรัพย์สินของเรา ถ้าเราให้เขาเขาแสดงอาการไม่เป็นที่ เลื่อมใสเราไม่ให้ก็ไม่เห็นจะแปลกเพราะว่าพระพุทธเจ้าท่านก็ตรัสว่า การให้ทานก็จะต้องเลือกให้เหมือนกันเพราะผู้รับถือว่าเป็น "เนื้อนาบุญ" ถ้าหว่านพืชลงในนาลุ่ม น้ำก็ท่วมตายถ้าดอนเกินไป น้ำไม่ถึงก็ตาย ต้องหว่านในเนื้อนาที่เหมาะ ถ้าเราเห็นนามันไม่ควรเราก็ไม่ให้ ทำไม่เหมาะไม่สม ไม่ถูกต้องตามพระธรรมวินัย ถ้าให้ก็เป็นการเลี้ยงโจรแต่ว่าถ้าพูดถึงทานการให้ เจตนาเราจะตั้งอย่างไรก็ตามตัวนี้มันเป็นผลตัดโลภะอยู่ตลอด เวลาส่วนใหญ่จริงๆ ที่มีอานิสงส์สูงสุด คือตัดโลภะความโลภ เพราะคนที่มีความโลภนี้ให้ทานไม่ได้ เงินที่จะให้ทานได้นี่มันตัดความสุขของเจ้าของหากว่าเจ้าของเขาไม่ให้ เขากินเขาใช้ก็มีความสุขเขาอุตส่าห์ตัดความสุขของเขาส่วนนี้ออกไป เป็นการตัดโลภะความโลภเป็นก้าวหนึ่งที่จะถึงพระนิพพาน อันนี้เขาไม่ต่ำมันเป็น "จาคานุสติกรรมฐาน"จาคานุสติกรรมฐานนี้ไม่ต้องไปภาวนาจิตคิดว่าจะให้ทานทุกวันๆนี่นะจิตคิดว่าถึงเวลานั้นเราจะใส่บาตร มากหรือน้อยก็ตามอันนี้เป็น "จาคานุสติกรรมฐาน" และการใส่บาตรหน้าบ้านเขาถือว่าเป็นสังฆทานมันก็มีผลสำหรับพระผู้รับ ถ้าผู้รับไม่ดีก็ลงอเวจีไปเอง
ผู้ถาม"กระผมอยากจะทำบุญใส่บาตรเหมือนกันครับ แต่คิดว่าของที่จะใส่บาตรทำบุญมันไม่ดี ก็เลยอาย ไม่อยากใส่ กะไว้ว่าถ้ามีอาหารดีเมื่อไหร่ ก็จะใส่บาตรผมคิดอย่างนี้ถูกไหมครับ ?"

หลวงพ่อ"การทำบุญ ทำไมจะต้องอายเคยมีนักเทศน์เขาถามกันว่า "มียายกับตา 2 คน เขาหุงข้าวแฉะแล้วแฉะอีกไอ้แกงก็เปรี้ยวแล้วเปรี้ยวอีก แกกินไม่ลง ของมันกินไม่ได้เวลาพระมาบิณฑบาตแกก็บอกว่า ใส่บาตรดีกว่า" พระนักเทศน์ เขาก็ถามกันว่า "อย่างนี้จะได้อานิสงส์ไหม ?" ก็ต้องตอบว่า "ได้อานิสงส์ แต่ผลที่เขาจะได้รับก็เป็น "ทาสทาน"

ผู้ถาม"ทาสทาน เป็นยังไงครับ ?

หลวงพ่อ"คำว่า "ทาสทาน"หมายความว่า ให้ของเลวกว่าที่เรากินเราใช้...เวลาที่เราได้ของใช้สอยมันก็ต้องเลวกว่าที่เขากินเขาใช้กันได้ก็ได้ของเลวถ้าให้ของเสมอที่เรากินอยู่ หรือที่เราใช้อยู่ เขาเรียกว่า สหายทานผลที่เราจะได้รับ ก็เสมอกับที่เรากินเราใช้ถ้าให้ของที่ดีกว่าที่เรากินเราใช้เขาเรียกว่า สามีทาน สามีทาน เขาไม่ได้แปลว่า ผัวทานนะ สามีเขา แปลว่า นายเวลาที่จะได้รับผล เราก็จะได้ของเลิศ ถ้าจะถามว่า ทาสทานมีอานิสงส์ไหมก็ต้องดูตัวอย่าง ท่านอาฬวีเศรษฐี เป็นมหาเศรษฐีมีทรัพย์ 80 โกฏิพระราชาตั้งเป็นมหาเศรษฐี แต่ว่าผ้าที่แกนุ่งนี้ ผ้าใหม่แกนุ่งไม่ได้นุ่งผ้าช้ำแล้วใกล้จะขาด แกจึงนุ่งได้ ข้าวที่จะกิน เม็ดสวยๆก็กินไม่ได้ต้องเป็นข้าวหัก หรือเป็นปลายข้าวแกจึงจะกินได้ ของทุกอย่างที่แกใช้ ต้องเป็นของเลวแต่อย่าลืมว่า เขาก็เป็นมหาเศรษฐีได้นะ อนึ่งการตั้งใจว่าจะใส่บาตรด้วยของดีๆ น่ะดีแต่ว่าวันไหนมีอาหารที่เราคิดว่าไม่ดีก็ใส่บาตรได้การให้ทาน พระพุทธเจ้าบอกว่าอย่าให้เบียดเบียนตัวเองถ้าเบียดเบียนตัวเอง เป็น "อัตตกิลมถานุโยค"เป็นการทรมานตัว และการให้ทาน พระพุทธเจ้าให้ดูอีกว่าควรให้หรือไม่ควรให้ถ้าให้ในเขตของคนเลว อานิสงส์ก็น้อยอาจจะไม่มีเลยรู้ว่าคนนี้ควรจะให้ เราก็ให้ ถ้าไม่ควรให้ เราก็ไม่ให้ ให้แล้วไปกินเหล้าเมายา ไปสร้างอันตรายกับคนอื่น เราไม่ให้ดีกว่าเป็นการต่อเท้าโจรให้พลังแก่โจรเวลาจะให้ ท่านวางกฎไว้ดังนี้

1.ผู้ให้บริสุทธิ์บริสุทธิ์หรือไม่ เขาจึงให้สมาทานศีลก่อน ถ้าสักแต่ว่าสมาทานนี่ซวยเวลานั้นต้องตั้งใจรักษาศีลจริงๆ จิตตอนนั้นมันจึงจะบริสุทธิ์คืออยู่ในช่วงว่างจากกิเลสถ้าตั้งใจสมาทานศีลด้วยดี จิตตอนนั้นบริสุทธิ์

2.ผู้รับบริสุทธิ์หมายความว่า ถ้าผู้รับเป็นพระ ก็พยายามให้เป็นพระจริงๆนะ

3.วัตถุทานบริสุทธิ์ถ้าไม่ได้ฆ่าสัตว์เอามาทำบุญ ไม่ได้ขโมยสตางค์เขามาทำบุญเป็นของ 3 อย่างถ้าลดไปอย่างใดอย่างหนึ่ง อานิสงส์ก็ลดตัวลงมาถ้าลดเสียหมดเลย ก็ไม่มีอานิสงส์แต่ว่าการให้ทานพระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้อีกประการหนึ่งต้องให้ครบ 3 กาล จึงจะมีอานิสงส์สูง คือ

1.ก่อนจะให้ก็ตั้งใจว่าจะให้

2. ขณะที่ให้ก็ดีใจ

3.เมื่อให้แล้วก็เกิดความเลื่อมใสมีเรื่องเล่าว่าในสมัยหนึ่ง เมื่อท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีจนลง ขนาดข้าวเป็นแทบไม่มีกินต้องกินปลายข้าวแต่ศรัทธาท่านยังไม่ถอย ท่านนิมนต์พระพุทธเจ้า พร้อมไปด้วยพระสงฆ์ไปฉันภัตตาหารที่บ้าน ท่านก็เอาปลายข้าวละเอียด เรียกว่าข้าวปลายเกวียนต้มแล้วก็เอาน้ำผักดอง เปรี้ยวๆ เค็มๆ ทำเป็นกับมาถวายพระพุทธเจ้าแล้วกราบทูลพระพุทธเจ้าว่า "เวลานี้ทานของข้าพระพุทธเจ้าเศร้าหมอง พระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมีเจตนาในการถวายทานอย่างไรล่ะ ?" ท่านบอกว่า "ก่อนจะให้เต็มใจพร้อมเสมอ ในขณะที่ให้ก็ปลื้มใจเมื่อให้ แล้วก็เกิดความเลื่อมใสดีใจว่าให้แล้ว พระพุทธเจ้าข้า"พระพุทธเจ้าจึงได้ตรัสว่า "ดูก่อนมหาเศรษฐี "ลูขัง วา ปณีตัง วา" หมายความว่าถ้าคนให้ทานมีเจตนาพร้อมเพรียงทั้ง 3 กาลอย่างนี้ ของดีก็ตาม ของเลวก็ตามย่อมมีอานิสงส์เลิศมีอานิสงส์สูง แต่ที่ท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐีท่านทำนั้นท่านถวายพระพุทธเจ้า และพระที่ฉันก็เป็นพระอรหันต์ทั้งหมด นับเป็นยอดของทานถ้าหากว่า เราไม่รู้จะเลือกยังไง องค์นี้จะเป็น โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามีอรหันต์หรือเปล่า หรือเป็นพระโปเก พระเชียงกง ถ้าเราไม่รู้ ก็ถวายเป็นสังฆทานเลยเพราะสังฆทานมีอานิสงส์สูงมากรองจากวิหารทาน"

โดยหลวงพ่อฤาษีลิงดำ

Cr..... Dhamma Department Store


No comments:

Post a Comment

อย่าสำคัญตน

อย่าสำคัญตน