พระผู้มีพระภาคเจ้า ตรัสพระคาถานี้ว่า
บุคคลใด เป็นคนโง่ ย่อมสำคัญว่าตนเองเป็นคนโง่ บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิต เพราะเหตุนั้นได้บ้าง
ส่วนบุคคลใด เป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเองเป็นบัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า คนโง่
ในอรรถกถาแก้ไว้ว่า
ก็เขารู้อยู่ว่า "เราเป็นคนโง่" แล้วเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้คนอื่นซึ่งเป็นบัณฑิต อันบัณฑิตนั้นกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบัณฑิต (เขา)เรียนเอาโอวาทนั้นแล้ว ย่อมเป็นบัณฑิต หรือ เป็นบัณฑิตกว่าได้.
ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่อยู่ เป็นผู้มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิตถ่ายเดียวอย่างนี้ว่า "คนอื่นใครเล่า จะเป็นพหูสูต เป็นธรรมกถึก ทรงวินัย มีวาทะกล่าวคุณเครื่องขจัดกิเลสเช่นกับด้วยเรา มีอยู่" บุคคลนั้นไม่เข้าไปหา ไม่เข้าไปนั่งใกล้บุคคลอื่นซึ่งเป็นบัณฑิต ย่อมไม่เรียนปริยัติเลย, ย่อมไม่บำเพ็ญข้อปฏิบัติ, ย่อมถึงความเป็นคนโง่โดยส่วนเดียวแท้.
( พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)
เป็นความจริงที่ว่า การที่เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี มีสิ่งที่ไม่ดีมากมายในชีวิตประจำวัน เต็มไปด้วยอกุศลประการต่าง ๆ มีความไม่รู้(อวิชชา) มาก เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ กล่าวได้ว่ามีความเข้าใจถูกระดับหนึ่ง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจึงควรเห็นประโยชน์ว่า เมื่อเป็นคนไม่ดีแล้ว สิ่งที่จะทำให้ดีขึ้นนั้น คืออะไร นั่นก็คือการได้เข้าใจถูกในพระธรรมในแนวทางถูกต้อง ด้วยการเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้บัณฑิตผู้ที่มีปัญญา เสพคุ้นกับความเห็นที่ถูกต้อง ย่อมจะเป็นเหตุปัจจัยทำให้ปัญญาเจริญขึ้น มีความเห็นถูกเพิ่มขึ้น เมื่อปัญญาเจริญขึ้น กุศลธรรมประการต่าง ๆ ก็จะเจริญขึ้นตามระดับของปัญญา ด้วยเช่นเดียวกัน
แต่โดยนัยตรงกันข้าม ปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น มีอกุศลมากมายอยู่แล้ว ทั้งโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น ยิ่งถ้าหากเสพคุ้นกับความเห็นผิด หรือในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้พอกพูนสิ่งที่ไม่ดี(อกุศล)เพิ่มขึ้น สิ่งที่ไม่ดี ก็จะมีมากขึ้น สะสมความไม่รู้มากขึ้น ซึ่งไม่เป็นผลดีเลย
ดังนั้น จึงควรพิจาณาด้วยปัญญาว่าเมื่อเป็นคนไม่ดี มีความไม่รู้ เป็นอย่างมาก แล้ว ควรทำอย่างไร ดำเนินชีวิตอย่างไร จึงจะถูกต้องดีงาม นั่นก็คือ ต้องอาศัยการศึกษาพระธรรม ฟังพระธรรม อบรมเจริญปัญญาในชีวิตประจำวัน และเป็นผู้ไม่ประมาทในการเจริญกุศลทุกประการ นั่นเอง
บุคคลใด เป็นคนโง่ ย่อมสำคัญว่าตนเองเป็นคนโง่ บุคคลนั้นจะเป็นบัณฑิต เพราะเหตุนั้นได้บ้าง
ส่วนบุคคลใด เป็นคนโง่ มีความสำคัญว่าตนเองเป็นบัณฑิต บุคคลนั้นแล เราเรียกว่า คนโง่
ในอรรถกถาแก้ไว้ว่า
ก็เขารู้อยู่ว่า "เราเป็นคนโง่" แล้วเข้าไปหา เข้าไปนั่งใกล้คนอื่นซึ่งเป็นบัณฑิต อันบัณฑิตนั้นกล่าวสอนอยู่ พร่ำสอนอยู่ เพื่อประโยชน์แก่ความเป็นบัณฑิต (เขา)เรียนเอาโอวาทนั้นแล้ว ย่อมเป็นบัณฑิต หรือ เป็นบัณฑิตกว่าได้.
ส่วนบุคคลใดเป็นคนโง่อยู่ เป็นผู้มีความสำคัญว่าตนเป็นบัณฑิตถ่ายเดี
( พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย คาถาธรรมบท)
เป็นความจริงที่ว่า การที่เรารู้ว่าตัวเองเป็นคนไม่ดี มีสิ่งที่ไม่ดีมากมายในชีวิตประจำวัน เต็มไปด้วยอกุศลประการต่าง ๆ มีความไม่รู้(อวิชชา) มาก เมื่อมีความเข้าใจอย่างนี้ กล่าวได้ว่ามีความเข้าใจถูกระดับหนึ่ง เมื่อรู้อย่างนี้แล้วจึงควรเห็นประโยชน์ว่
แต่โดยนัยตรงกันข้าม ปกติของผู้ที่ยังมีกิเลสอยู่นั้น มีอกุศลมากมายอยู่แล้ว ทั้งโลภะ โทสะ โมหะเป็นต้น ยิ่งถ้าหากเสพคุ้นกับความเห็นผิด หรือในแนวทางที่ไม่ถูกต้อง ก็ย่อมเป็นเหตุทำให้พอกพูนสิ่งที่ไม่ดี(อก
ดังนั้น จึงควรพิจาณาด้วยปัญญาว่าเมื่อเป็นคนไม่ดี
ที่มา--- Veera เหลืองชมพูเหนือหัวชาวไทย/fb.com
No comments:
Post a Comment