พระพุทธเจ้าตรัสสิ่งทั้งปวงมีกา ร เกิด...ดับ เป็นธรรมดา
ชาติธรรมวรรคที่ ๔
[๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั ้งหลายว่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมด า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความเกิดเป็น ธรรมดาคืออะไรเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส มีความเกิดเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็ น
ปัจจัย ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ
ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัสมีความเกิดเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
ทั้งในจักษุทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็ นปัจจัย ฯลฯ
ทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นป ัจจัย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ ได้มี ดังนี้ ฯ
[๓๗] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความแก่ เป็นธรรมดา ... ฯ
[๓๘] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความป่วยไข้ เป็นธรรมดา ... ฯ
[๓๙] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความตาย เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๐] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเศร้าโศก เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๑] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๒] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความสิ้นไป เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๓] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเสื่อมไป เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๔] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี เหตุให้เกิด เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๕] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความดับไป เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความดับไปเป็ นธรรมดา คือ อะไรเล่า
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส มีความดับไปเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็ น
ปัจจัย ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ
ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส มีความดับไปเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นป ัจจัย ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ
ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็ นปัจจัย ฯลฯ
ทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจั ย
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่ง รู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ ได้มี ฯ
จาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค
ชาติธรรมวรรคที่ ๔
[๓๖] สมัยหนึ่ง พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน
อารามของท่านอนาถบิณฑิกเศรษฐี ใกล้พระนครสาวัตถี ณ ที่นั้นแล
พระผู้มีพระภาคได้ตรัสกะภิกษุทั
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
สิ่งทั้งปวงมีความเกิดเป็นธรรมด
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความเกิดเป็น
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส มีความเกิดเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็
ปัจจัย ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา ฯลฯ
ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัสมีความเกิดเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้น
เพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจัย ก็มีความเกิดเป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่าย
ทั้งในจักษุทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็
ทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นป
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้ว ย่อมมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว กิจควรทำทำเสร็จแล้ว
กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ
[๓๗] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความแก่ เป็นธรรมดา ... ฯ
[๓๘] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความป่วยไข้ เป็นธรรมดา ... ฯ
[๓๙] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความตาย เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๐] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเศร้าโศก เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๑] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเศร้าหมองเป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๒] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความสิ้นไป เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๓] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความเสื่อมไป เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๔] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี เหตุให้เกิด เป็นธรรมดา ... ฯ
[๔๕] ... ดูกรภิกษุทั้งหลาย สิ่งทั้งปวงมี ความดับไป เป็นธรรมดา
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
ก็สิ่งทั้งปวงที่มีความดับไปเป็
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
คือ จักษุ รูป จักษุวิญญาณ จักษุสัมผัส มีความดับไปเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็
ปัจจัย ก็มีความดับไปเป็นธรรมดา ฯลฯ
ใจ ธรรมารมณ์ มโนวิญญาณ มโนสัมผัส มีความดับไปเป็นธรรมดา
แม้สุขเวทนา ทุกขเวทนา หรืออทุกขมสุขเวทนา
ที่เกิดขึ้นเพราะมโนสัมผัสเป็นป
ดูกรภิกษุทั้งหลาย
อริยสาวกผู้ได้สดับแล้ว เห็นอยู่อย่างนี้ ย่อมเบื่อหน่ายทั้งในจักษุ
ทั้งในรูป ทั้งในจักษุวิญญาณ ทั้งในจักษุสัมผัส ทั้งในสุขเวทนา ทุกขเวทนา
หรืออทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดขึ้นเพราะจักษุสัมผัสเป็
ทั้งในใจ ทั้งในธรรมารมณ์ ทั้งในมโนวิญญาณ ทั้งในมโนสัมผัส
ทั้งในสุขเวทนา ทั้งในทุกขเวทนา ทั้งในอทุกขมสุขเวทนา ที่เกิดเพราะมโนสัมผัสเป็นปัจจั
เมื่อเบื่อหน่าย ย่อมคลายกำหนัด
เพราะคลายกำหนัด ย่อมหลุดพ้น
เมื่อหลุดพ้นแล้วย่อมมีญาณหยั่ง
รู้ชัดว่า ชาติสิ้นแล้ว พรหมจรรย์อยู่จบแล้ว
กิจที่ควรทำทำเสร็จแล้ว กิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้มิ
จาก
พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๘ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๐
สังยุตตนิกาย สฬายตนวรรค