14.5.13

ผลแห่งการชักชวนให้คนสร้างกุศล




ในทางพุทธศาสนา การชักชวนผู้อื่นทำความดีนั้น
ผู้ชักชวนก็ได้บุญ และทำให้เป็นผู้มีบริวารมาก
หากทำด้วยตัวเองด้วยก็ยิ่งจะได้ทั้งทรัพย์สมบัติและบริวาร
ดังเรื่องที่มีมาแต่ครั้งพุทธกาลว่า

กาลครั้งหนึ่งพระเจ้าปเสนทิโกศลได้รับสั่งให้สันตติมหาอำมาตย์
ไปปราบปรามโจรที่กำลังฮึกเหิมอย่างหนัก
เมื่อพระเจ้าปเสนทิโกศลได้ทรงทราบว่า
มหาอำมาตย์ปราบโจรได้อย่างราบคาบแล้ว
ทรงพอพระราชหฤทัยมาก จึงพระราชทานทรัพย์สมบัติให้เป็นจำนวนมาก
รวมทั้งหญิงสาวที่เก่งในการร้องเพลงและฟ้อนรำนางหนึ่ง
อำมาตย์ได้ดื่มเหล้าฉลองชัยชนะจนเมามายถึงเจ็ดวันเจ็ดคืน
ในวันที่ เจ็ดเขาจัดแจงแต่งตัวด้วยอาภรณ์อย่างดี
แล้วขี่ช้างตัวที่ดีที่สุดไปยังท่าอาบน้ำ
เมื่อไปถึงก็เห็นพระศาสดากำลังเสด็จเข้าไปบิณฑบาตในเมือง
เขาจึงผงกศีรษะถวายบังคมด้วยความเคารพ
ในขณะที่นั่งอยู่บนคอช้างนั่นเอง

เมื่อพระศาสดาทรงเห็น จึงทรงแย้มพระโอษฐ์
พระอานนท์จึงทูลถามถึงสาเหตุที่พระองค์ทรงแสดงกิริยาเช่นนั้น
พระพุทธองค์ตรัสว่า “อานนท์ เธอจงดูสันตติมหาอำมาตย์
วันนี้เขาประดับด้วยอาภรณ์อย่างดี มาสู่สำนักเรา
เขาจะบรรลุพระอรหัตเพียงเพราะไดัฟังธรรมเพียงนิดเดียวเท่านั้นเอง
และจะปรินิพพานในอากาศ”

บรรดาชาวบ้านที่ได้ฟังคำของพระศาสดา
บางพวกที่เป็นมิจฉาทิฏฐิคิดว่า “ท่านทั้งหลาย จงดูกิริยาของพระสมณโคดม
พระองค์ย่อมพูดสักแต่ปากเท่านั้น ในวันนี้สันตติมหาอำมาตย์นั้นเมาสุราอย่างหนัก
จะได้ไปฟังเทศน์ฟังธรรมที่ไหน พวกเราจักจับผิดพระสมณโคดมที่กล่าวมุสาวาท”

ส่วนพวกที่เป็นสัมมาทิฏฐิคิดกันว่า
“น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าทั้งหลายมีอานุภาพมาก
ในวันนี้ เราทั้งหลาย จักได้ดูการเยื้องกรายของพระพุทธเจ้า
และการเยื้องกรายของสันตติมหาอำมาตย์”

ฝ่ายมหาอำมาตย์หลังลงเล่นน้ำตลอดทั้งวันที่ท่าอาบน้ำแล้ว
จึงกลับไปสู่อุทยาน และไปนั่งในโรงดื่ม
ขณะที่หญิงสาวที่พระเจ้าปเสนทิโกศลพระราชทานให้นั้น
ก็ขึ้นไปยืนอยู่ที่กลางเวทีเตรียมจะฟ้อนรำให้มหาอำมาตย์ดู
แต่พอเริ่มจะแสดง นางก็กลับมีลมพิษเกิดขึ้นในท้องอย่างหนัก
ปากอ้า ตาเหลือก และในที่สุดก็ขาดใจตาย
สาเหตุเพราะกินอาหารน้อยมาตลอด ๗ วัน
เพื่อให้ร่างกายอ้อนแอ้นน่าชมนั่นเอง

เมื่อมหาอำมาตย์รู้ว่านางตายแล้ว
เขาก็เกิดความเศร้าโศกอย่างแรงกล้าขึ้นมา กระทั่งส่างเมาทันที
พิษของสุราที่ดื่มมาตลอด ๗ วัน ได้เสื่อมหายไป
เขาคิดว่าคงไม่มีใครที่จะสามารถระงับความโศกเศร้าของเขาได้
เขาจึงไปขอเข้าเฝ้า พระศาสดาในตอนเย็นพร้อมกับบริวาร
และกราบทูลถึงเหตุแห่งความโศกเศร้าที่เกิดขึ้นกับตน
และเหตุที่มาเฝ้าพระพุทธเจ้

ครั้นพระศาสดาได้ฟังเรื่องราวทั้งหมดแล้ว จึงตรัสว่า
“ท่านมาหาเราผู้สามารถที่จะดับความโศกได้แน่นอน
อันที่จริงน้ำตาที่ไหลออกของท่านผู้ร้องไห้ในเวลาที่หญิงนี้ตายด้วยเหตุอย่างนี้
มากกว่าน้ำของมหาสมุทรทั้ง ๔ ซะอีก” แล้วจึงตรัสพระคาถา ว่า

“กิเลสเครื่องกังวลใด มีอยู่ในกาลก่อน เธอจงยังกิเลสเครื่องกังวลนั้น
ให้เหือดแห้งไป กิเลสเครื่องกังวล จงอย่ามีแก่เธอในภายหลัง
ถ้าเธอจักไม่ยึดถือขันธ์ ในท่ามกลาง จักเป็นผู้สงบระงับเที่ยวไป

หลังจากพระองค์เทศน์จบ สันตติมหาอำมาตย์ก็บรรลุพระอรหัตผล
แล้วพิจารณาดูอายุสังขารของตน ทราบว่าตัวเองจะหมดอายุขัยแล้ว
จึงกราบทูลพระศาสดาว่า

“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ขอพระองค์จงทรงอนุญาตการปรินิพพานแก่ข้าพระองค์เถิด”

พระพุทธองค์จึงตรัสว่า “สันตติมหาอำมาตย์ ถ้าอย่างนั้น
เธอจงเล่ากรรมที่เธอเคยทำไว้ในอดีตแก่เรา
แต่ก่อนจะเล่า จงอย่ายืนบนพื้นดิน จงยืนบนอากาศชั่ว ๗ ลำตาล”

มหาอำมาตย์จึงถวายบังคมพระศาสดา
จากนั้นก็ขึ้นไปสู่อากาศชั่วลำตาลหนึ่ง แล้วลงมาถวายบังคมพระศาสดาอีก
และขึ้นไปนั่งโดยบังลังก์บนอากาศ ๗ ชั่วลำตาลแล้ว
จึงเล่าบุรพกรรมของตนเองว่า

ในกัลป์ที่ ๙๑ แต่กัลป์นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่าวิปัสสี
ตนได้บังเกิดในตระกูลแห่งหนึ่ง ในพันธุมดีนคร คิดอยู่ว่า
อะไรหนอเป็นกรรมที่ไม่ทำการตัดรอนหรือบีบคั้นชนเหล่าอื่น
เมื่อใคร่ครวญอยู่อย่างนี้ จึงรู้ว่ากรรมคือ
การป่าวร้องบอกบุญ ชักชวนคนทำบุญ เป็นสิ่งที่ดี
จึงชักชวนชาวบ้านทำบุญ เที่ยวเชิญชวนชาวบ้านทำบุญสมาทาน
อุโบสถศีลในวันอุโบสถ ถวายทาน
และฟังเทศน์ฟังธรรม เพื่อให้เข้าถึงพระรัตนตรัย

ผลของการชักชวนชาวบ้านบำเพ็ญบุญบำเพ็ญกุศลนั้นมีมากมายยิ่งนัก
ดังที่เกิดขึ้นกับตน คือ พระราชาผู้ใหญ่ทรง พระนามว่า ‘พันธุมะ’
เป็นพระพุทธบิดา เมื่อได้ทรงสดับความดังนั้น
จึงรับสั่งให้เรียกตนมาเฝ้า แล้วตรัสถามว่า กำลังทำอะไร ตนจึงทูลไปว่า
ได้เที่ยวประกาศคุณของพระรัตนะตรัย ชักชวนชาวบ้านทำบุญ ทำกุศล

พระราชาได้ตรัสถามว่า นั่งอะไรไป ตนได้กราบทูลไปว่า เดินไป
จึงตรัสขึ้นว่าไม่เหมาะที่จะเดินไปอย่างนั้นหรอก
จงประดับพวงดอกไม้นี้แล้วขี่ม้าไปเถิด ตรัสแล้วก็พระราชทาน
พวงดอกไม้ และม้าที่ฝึกแล้วให้ ต่อมาพระราชาเห็นว่าม้าก็ไม่สมควร
จึงได้พระราชทานรถที่เทียมด้วยม้าพันธุ์ดี
และไม่นานพระราชาก็คิดว่ารถเทียมม้าก็ไม่สมควรอีก
จึงได้พระราชทานทรัพย์สินเงินทองพร้อมทั้งเครื่องประดับเป็นจำนวนมาก
นอกจากนั้นยังได้พระราชทานช้างเชือกหนึ่งด้วย
ตนจึงนั่งบนคอช้าง ออกเที่ยวชักชวนคนทำบุญทำกุศลอยู่อย่างนี้สิ้นแปดหมื่นปี
กลิ่นจันทน์ฟุ้งออกจากกาย กลิ่นอุบล ฟุ้งออกจากปากตลอดกาลมีประมาณเท่านี้”

หลังจากสันตติอำมาตย์กราบทูลบุรพกรรมของตนแล้ว
ท่านก็ปรินิพพานบนอากาศนั่นเอง

........

วิธีการทำบุญที่สันตติอำมาตย์ได้ชวนผู้อื่นทำนั้น
มีทั้งการให้ทาน รักษาศีล และฟังธรรม ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ง่ายๆ
ไม่มีทรัพย์สินเงินทองก็สามารถทำได้
เพราะวิธีการทำบุญมีมากมายหลายวิธี เราสามารถทำบุญด้วยการรักษาศีล
ฟังธรรม และเจริญภาวนา เป็นต้น ซึ่งสิ่งต่างๆ
เหล่านี้ล้วนแต่ให้อานิสงส์มากมายยิ่งนักแก่ผู้ปฏิบัติ
ไม่ได้น้อยไปกว่าการทำบุญด้วยวัตถุสิ่งของเลย

จะเห็นว่าสันตติอำมาตย์ได้ทำบุญอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานาน
แสดงให้เห็นถึงการมีจิตใจแน่วแน่เด็ดเดี่ยวในการทำความดี
ดังนั้น หากเราคิดอยากจะได้บุญที่ยิ่งใหญ่เช่นนี้
ก็จงแน่วแน่ในการสร้างความดีต่างๆ อย่าท้อแท้หมดกำลังใจเมื่อมีมารมาขัดขวาง
นอกจากนั้นจงใช้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นรอบตัวเป็นปัจจัยในการเข้าถึงสัจธรรม
เพราะทุกอย่างที่อยู่รอบตัว สามารถเป็นบทเรียนให้เราได้
หากเรารู้จักใช้สติปัญญาพิจารณาอย่างจริงจัง
และน้อมเข้ามาเปรียบเทียบกับตัวเอง และเมื่อเรามีปัญญาเห็นความจริงแล้ว
ก็จงพยายามถ่ายทอดต่อไปยังคนอื่นๆ การชี้ทางให้แก่คนอื่น ก็เป็นบุญอันยิ่งใหญ่
เป็นธรรมทาน มีอานิสงส์มากมาย 

(จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 90 พ.ค. 51 โดย มาลาวชิโร)

การให้อภัย