ทุกคนในโลกต้องการสิ่งเดียวกันคือความสุข แต่น้อยคนที่สนใจศึกษาเรื่องความสุขอย่างละเอียด ส่วนมากเรามักจะเชื่อกิเลสตัวเอง หรือค่านิยมของสังคม ว่าสุขที่ต้องการนั้นเป็นอย่างไร ทุกวันนี้คนเราชอบสับสนระหว่างความสุขและความตื่นเต้น สิ่งใดกระตุ้นความรู้สึกได้มากก็ถือว่าสิ่งนั้นนำความสุขมาให้ แต่ความสุขนั้นยังร้อนอยู่ ความสุขทางเนื้อหนังนั้นยิ่งเข้มข้น ก็ยิ่งชวนให้เราติด ติดแล้วอาจจะเป็นเหตุให้เบียดเบียนคนอื่น หรือทำอะไรผิดกฎหมายเพื่อจะให้ได้มา อย่างน้อยก็ทำให้เราไม่เป็นตัวของตัวเอง ความสุขที่ขึ้นอยู่กับสิ่งนอกตัวเรา ไม่สามารถระงับความพร่องอยู่ในใจของมนุษย์ได้ อย่างมากก็ได้แค่กลบเกลื่อนชั่วคราว ความสุขที่ได้จากรูป เสียง กลิ่น รส และการสัมผัสทางกายนั้นนับว่าคับแคบและไม่ไปไหน คือกี่ปีกี่ปีก็เหมือนเดิม กี่ภพกี่ชาติก็แค่นั้นแหละ อายุเรามากขึ้น สุขภาพร่างกายอ่อนโรยลง มีโรคประจำตัวเพิ่มมากขึ้น โอกาสจะได้ความสุขจากสิ่งนอกตัวก็น้อยลง สุดท้ายน่ากลัวจะเหมือนนกกระเรียนแก่ ซบเซาอยู่ที่เปลือกตมไร้ปลา ดังที่กล่าวไว้ในธรรมบท
พระพุทธองค์ ให้เราเห็นว่าการช่วยคนอื่น การดำเนินชีวิตภายในกรอบของศีล การขัดเกลานิสัย การฝึกสมาธิ และการพัฒนา ปัญญา เป็นทางไปสู่ความสุขที่แน่กว่า และมีจุดเด่น
ครั้งหนึ่ง พระพุทธองค์ ตรัสว่ามีธรรม ๖ ข้อ ซึ่งทำให้เราอยู่ในปัจจุบันอย่างมีความสุขมาก และยังเป็นเหตุเป็นปัจจัยเพื่อการสิ้นไปแห่งกิเลสในอนาคตข้างหน้า อย่างนี้ฝรั่งเรียกว่า win-win situation คือ ได้ความสุขในปัจจุบันด้วย แถมยังได้เจริญในอริยมรรคไปด้วยพร้อมกัน
ธรรม ๖ ข้อคือ
• เป็นผู้ยินดีในธรรม
• เป็นผู้ยินดีในการภาวนา
• เป็นผู้ยินดีในการละ
• เป็นผู้ยินดีในความวิเวก
• เป็นผู้ยินดีในความไม่พยาบาท
• เป็นผู้ยินดีในความไม่ปรุงแต่ง
สิ่งแรกที่เราควรสังเกตก็คือความสุขทั้ง ๖ ข้อเกิดจากความยินดี หลายคนเข้าใจว่าชีวิตนักปฏิบัติธรรมไม่น่าจะมีอะไรสนุก ที่มองอย่างนี้เพราะยังจับหลักไม่ได้ว่าตัวความสุขอยู่ที่ “ ความยินดี) มากกว่า “ สิ่งที่ยินดี ” นักปฏิบัติไม่ต้องสละความยินดีเสมอไป เพียงแต่ว่าต้องย้ายความยินดีของตนออกจากสิ่งที่ทำให้จิตตกต่ำ ไปไว้ในสิ่งที่น้อมนำจิตออกจากทุกข์ สรุปว่าไม่ขาดทุนเลย มีแต่ได้กำไร
ความยินดีในธรรม คือยินดีในการฟังธรรม การอ่านธรรมการท่องธรรม การพิจารณาธรรม การปฏิบัติธรรมในทุกระดับยิ่งศึกษาและปฏิบัติธรรมยิ่งมีความสุข เพราะการเห็นความจริง ความลึกซึ้งมากขึ้น ๆ โดยลำดับ เรายินดีในธรรมแล้ว ความยินดีในสิ่งที่ไม่ใช่ธรรมต้องค่อย ๆ หายไปเอง เพราะมันขัดกัน เมื่อเรายินดีในธรรมแล้ว เราเห็นคนอื่นดี เราไม่อิจฉา กลับแช่มชื่นว่าธรรมที่ปรากฏในคนนั้นงามจริง ๆ ธรรมเกิดที่ไหนก็งามที่นั่น เราเห็นความงามของธรรมที่ไหนเราก็สุขที่นั่น ตาเราเย็น ใจเราสงบ
ผู้ยินดีในการภาวนา ก็มีความสุขเพราะเห็นสิ่งดีงามในตนเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ แม้ในเวลาที่การภาวนายังไม่ได้ผลมากนัก นักปฏิบัติมีความสุขด้วยพลังศรัทธาว่ากำลังตามรอยพระอรหันต์ ถ้าทำไปเรื่อย ๆ ไม่ท้อแท้เราต้องสงบแน่ เชื่อมั่นว่าการภาวนามีผลจริง และเป็นทางเดียวที่นำสัตว์โลกไปสู่การตรัสรู้ธรรม อย่างนี้เราสามารถมีความสุขกับทุกก้าวที่เราเดิน
ความยินดีในการละ ก็เหมือนกัน ถ้าเรายังเสียดายกิเลสเราจะปล่อยวางไม่ได้ เมื่อเราพิจารณาเห็นกิเลสว่าเป็นสิ่งกีดกันไม่ให้เราเจริญในธรรม เราจะยินดีในการละกิเลสตลอดเวลา โอกาสจะฝืนและชนะกิเลส โอกาสที่จะมีความสุขในการชำระจิตใจ ก็เกิดขึ้นตลอดเวลาเช่นกัน ละกิเลสได้แม้ชั่วคราวก็ตาม หากเรายินดีได้ก็มีความสุข
สำหรับผู้ครองเรือน ความยินดีในวิเวก อาจจะเป็นแหล่งความสุขที่หายากหน่อย แต่อย่างน้อยที่สุดเราควรฝึกให้อยู่คนเดียว เป็นนักปฏิบัติขาดเพื่อนแล้วเหงาหงอยยังไม่ถือว่าเก่ง ถ้ายินดีในการอยู่คนเดียวจะเป็นคนสุขง่ายขึ้นทันที ฉะนั้น ถ้ามีโอกาสไปปฏิบัติธรรมในวัดหรือศูนย์ปฏิบัติธรรมที่เราไม่รู้จักใคร ก็เป็นประสบการณ์ที่ดี
หลวงพ่อชาเคยบอกว่านั่งรับแขกอยู่ทั้งวัน ท่านยังมีความรู้สึกว่าอยู่คนเดียว นี่คือวิเวกขั้นสูง ตรงกันข้ามกับคนที่อยู่คนเดียวแต่คิดถึงคนอื่นตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม วิเวกชนิดที่สำคัญคือ จิตวิเวกซึ่งเป็นผลของการฝึกสมาธิภาวนาถึงขั้นที่จิตข่มนิวรณ์ได้
พระองค์ตรัสพรรณนาคุณของสมาธิแน่วแน่นี้ว่า จิตสงัดหรือวิเวกจากกาม สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ความวิเวกประเภทนี้มาพร้อมกับปีติและสุข ผู้ยินดีในวิเวกในความหมายว่าสงัดจากอารมณ์จึงมีความสุขอันประณีตหล่อเลี้ยงจิตอยู่อย่างน่าพอใจ
ความยินดีในการไม่พยาบาท คือ ยินดีในเมตตานั้นเอง ผู้มีเมตตามีความสุขเพราะความเร่าร้อนของอารมณ์ฝ่ายโทสะไม่มีช่องเข้ามากลุ้มรุมจิตใจได้ ผู้ไม่โกรธ ไม่โมโห ไม่หงุดหงิดรำคาญไม่จับผิดคนอื่น จะไม่มีความสุขได้อย่างไร จิตใจที่เต็มเปี่ยมด้วยเมตตาไม่มีศัตรูเพราะไม่มองใครเป็นศัตรู คนอื่นจะมองเราอย่างไรก็เรื่องของเขา หากเราไม่มีคำว่าศัตรูอยู่ในใจ เราย่อมมีศัตรูไม่ได้ ไม่พยาบาทแล้วความกลัวและความระแวงในใจย่อมลดน้อยลงมาก เพราะคนเรามักจะเอากิเลสตัวเองไปใส่คนอื่นอยู่บ่อย ๆ คนขี้โกรธมักจะเสียใจอยู่เรื่อยว่าคนรอบข้างกำลังโกรธเขา
ผู้มีเมตตาหวังดีต่อทุกคนรวมถึงตัวเอง ไปไหนคนดีก็เอ็นดู ความเมตตาช่วยชำระจิตใจของมนุษย์ และยังสร้างบรรยากาศในครอบครัวและชุมชนให้อบอุ่น
ผู้ยินดีในความไม่ปรุงแต่ง คือผู้ยินดีในการดับทุกข์ หรือไม่มีทุกข์ ย่อมไม่ยินดีในกิเลสที่ทำให้การปฏิบัติเนิ่นช้า ไม่คิดสะสมอีกแล้ว ไม่หาความสุขกับความคิดอีกแล้ว ยินดีในจิตใจที่ปลอดโปร่งด้วยสติ ด้วยความรู้ตัว อยู่ในปัจจุบัน ไม่ให้มีความรู้สึกว่าเรา ว่าของเรา เกิดขึ้นครอบงำใจ มีความสุขกับการเป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ในปัจจุบัน ไม่ต้องการอะไร ไม่ห่วงใยอะไร ทำให้สิ่งต่าง ๆ เย็นลงไปเรื่อย ๆ อย่างนี้มีความสุขมาก และนำไปสู่ความสิ้นไปแห่งกิเลสในที่สุด
**********************
ที่มา---kanlayanatam.com
No comments:
Post a Comment