4.11.18

เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๙


Q เจตนาการบวชของฉัน – ตอนที่ ๙ Q

เมื่อหลวงพ่อปานเพ่งน้ำเป็นแก้วประกายพรึกก็จัดเป็นฌาน ๔ บังคับให้เล็กได้ให้ใหญ่ได้ ให้สูงได้ต่ำได้ หลวงพ่อสุ่นท่านนั่งอยู่ในกุฏิของท่าน เวลามาทำท่านไม่ได้มานั่งคุยกันอยู่ตลอดวันหรอกนะ ท่านสอนแล้วท่านก็บอกให้ไปทำเอาเอง ลูกหลานที่รักจำให้ดีนะ แบบฉบับตั้งแต่สมัยพระพุทธเจ้าก็เหมือนกัน เวลาท่านสอนแล้วไม่ใช่ท่านไปนั่งคุมกันทุกวี่ทุกวัน คอยจี้คอยไช ไม่ใช่อย่างนั้น ลูกศิษย์ลูกหาเขาได้รับคำสอนแล้วเขารับไปทำตามคำสอน เว้นไว้แต่สงสัยตรงไหน ถ้าสงสัยตรงไหนเท่านั้นแหละเขาจึงจะมาถามใหม่เพื่อความแน่ใจ แล้วเกิดอาการขัดข้องอะไรมันเกิดขึ้นมาล่ะก็มาถามใหม่ เพื่อความมั่นใจและเพื่อความโปร่งใส จะได้ไม่ขัดข้องในอารมณ์

เมื่อหลวงพ่อปานท่านซ้อมจนดีแล้ว หลวงพ่อสุ่นอยู่ที่กุฏิรู้ ท่านรู้ว่าไปแอบไปทำที่ไหน ในเมื่อหลวงพ่อสุ่นท่านทราบ ท่านก็เรียกว่า ปานเอ๊ย...มาหาพ่อหน่อยซิ หลวงพ่อปานก็ห่มจีวรเรียบร้อย พาดสังฆาฏิ ไปถึงแล้วก็กราบ นี่พระเก่าเขาทำกันอย่างนี้นะ เดี๋ยวนี้พระแบบใหม่ติดฝรั่งหมด เวลาครูบาอาจารย์เรียกทำเป็นยืนทื่อเหมือนไม้ท่อน ความเคารพนบนอบก็ไม่ค่อยมี เต็มที ลุงพุฒิว่ายังไง จดลงนรกไป วันนี้เอาบัญชีมานี่ เลยคุยใหญ่ บอกแบบนี้เอาลงนรกไปเลย ถามว่าแล้วก็เขายังไม่ได้ว่าครูบาอาจารย์เขานี่ ยังไม่ได้ดูถูกดูหมิ่นทำไมลงนรก ว่าไงนะเสียจริยาพระ จริยาของพระเสีย ทำตนไม่เป็นพระตามสมควร เอาลงนรกเลยหรือ เอาแกบอกว่าเอา อย่างนี้เอา เอาหนักด้วย เพราะอะไร เพราะบวชแล้วทำตนเป็นพระหลอกลวงชาวบ้าน เอาเข้านั่นสิ

ฟังเอาไว้ลูกหลานนะ นี่ลุงพุฒิแกนั่งอยู่ใกล้ฉัน วันนี้คุยกันถนัด นั่งกันอยู่ใกล้ติดกันเลย ยิ้มตลอดวัน ใจดี น่ากลัวตอนบ่ายจะไปล่อใครเขาก็ไม่รู้ เยอะหรือ เท่าไรล่ะ เจ็ดถึงแปดร้อย โอ้โฮ! นี่แกตัดสินความวันหนึ่งน่ะเจ็ดถึงแปดร้อยคนเชียวหรือ เขาว่าบางทีมากกว่านั้นก็มี เห็นไหมลูกหลาน นี่ผีคนตายน่ะไปคอยตาพุฒิอยู่ตั้งเจ็ดแปดร้อยคน ตอนบ่ายวันนี้ตาพุฒิจะไปตัดสิน จำไว้ เขาตายให้ตาพุฒิตัดสิน ลูกหลานตายอย่าให้ตาพุฒิตัดสินนา อย่าผ่านสำนักแกนะ ว่าไง ไม่ต้องผ่านหรือ เออ..ถ้ามันคิดอย่างนั้นไม่ต้องผ่านงั้นเหรอ เขารับรองเขาบอกว่าคิดอย่างสมเด็จท่านสั่งไว้เมื่อกี้ไม่ต้องผ่าน แล้วเขาก็ยิ้มชอบใจ เขาบอกว่าลูกหลานของท่านมันก็ลูกหลานของผมเหมือนกัน ผมก็ห่วงมันเหมือนกัน เขาว่าอย่างนั้น แกห่วงเหมือนกันนะ ที่แกขึ้นมานี่ ที่แกพูดอย่างนี้อย่างนั้นเพราะแกห่วงว่าลูกหลานทั้งหลายจะเผลอ จะย่องลงไปในนรก อย่าไปนะ ทำตามพระพุทธเจ้าท่านว่า

ในเมื่อหลวงพ่อปานเข้าไปกราบหลวงพ่อสุ่นแล้ว หลวงพ่อสุ่นก็ถามว่า ปานเอ๊ย...กสิณน้ำหรือว่าคาถาดูน้ำของลูกน่ะได้ดีแล้วใช่ไหม หลวงพ่อปานก็บอกว่า เห็นเป็นสีแก้วขอรับ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า นั่นมันถึงที่สุดแล้วนะลูกนะ แล้วก็หัดทรงเวลาหรือเปล่าล่ะ หัดตั้งเวลาทรงหรือเปล่า หลวงพ่อปานว่าหัดตั้ง หัดตั้งเวลา คือเอาเทียนขี้ผึ้งมาก เอาเงินเหรียญไปติดหรือสตางค์ไปติดไว้ที่ตรงไหนก็ตามที่เทียน แล้วก็จุดเทียน ทำกสิณทรงภาพทรงสมาธิ จับนิมิตนั้นให้ทรงอยู่ตลอดเวลาจนกระทั่งเทียนนั้นไหม้มาถึงสตางค์ที่ติดไว้ สตางค์มันก็หล่นลงขันก๊ง หรือหล่นลงบนพื้นเก๊กหนึ่งก็แสดงว่าหมดเวลา นี่หลวงพ่อปานท่านทำจนใช้เวลาตั้ง ๔-๕ ชั่วโมง ท่านเก่งมากนา ไม่ใช่เก่งน้อย สามารถจะทรงนิมิตรไว้ได้ถึง ๔-๕ ชั่วโมงได้อย่างสบายๆ หลวงพ่อสุ่นก็บอกว่า ลูกปาน พ่อรู้แล้วเอ็งน่ะทรงสมาธิไว้ได้ ถ้ายังไม่ดีพ่อไม่เรียกมา เพราะเอ็งมันเป็นคนดีนี่ พ่อสอนอะไรทำได้ทุกอย่าง...


อ้างอิง – หนังสือคำสอนหลวงพ่อวัดท่าซุง เล่มที่ ๖๒ หน้า๔๒-๔๔ โดยหลวงพ่อพระราชพรหมยาน วัดท่าซุง จ.อุทัยธานี

คนมีธรรม